‘ทนายตั้ม’ยื่นตรวจสอบวินัย‘บิ๊กตำรวจ’ แย้มหมัดน็อก จ่อเปิดตัว‘พยานสำคัญ’
เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 3 เมษายน 2567 ที่สำนักงานจเรตำรวจ (กองบินตำรวจ) ถ.รามอินทรา เขตบางเขน กทม. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ประธานกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อให้ตรวจสอบบิ๊กตำรวจ
นายษิทรา เปิดเผยว่า วันนี้ตนมายื่นเรื่องให้กับ พล.ต.ท.สรศักดิ์ เนื่องจากกรณีที่ก่อนหน้านี้ตนได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ พล.ต.อ. , ภรรยา และบัญชีม้า 2 ราย รวมทั้งหมด 4 ราย นอกจากนี้ยังมีเรื่องข้าราชการตำรวจรายอื่นๆที่มีเส้นทางการเงินจากเว็บพนันโอนไปถึง อีกทั้งในวันนี้ตนจะคุยเรื่องการทุจริตรับส่วยของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยที่มีการไปเก็บมาจากประชาชน และจะดูว่าคณะกรรมการ ก.ร.ตร.) จะสามารถช่วยจัดการอะไรได้บ้าง แต่ทราบว่าขอบเขตของท่านคือดูในเรื่องการร้องเรียนข้าราชการตำรวจที่กระทำผิดวินัย
ทนายตั้ม เปิดเผยอีกว่า ตนทราบเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ถูกออกหมายจับแล้ว และวานนี้ (2 เม.ย.67) ท่านก็ไปมอบตัวเรียบร้อย อย่างไรก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนหลังจากนี้อำนาจเป็นของพนักงานสอบสวนว่าจะส่งให้ทาง ป.ป.ช. หรือรับทำไว้เองหรือไม่ ตนยังไม่ทราบ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาตนได้มีการไปร้องเรียนในหลายที่ ก็จะพยายามไปให้การให้ข้อมูลให้เร็วที่สุด ซึ่งมีที่ บก.ปปป.ที่ตนได้ไปให้การแล้ว แต่ในส่วนของ สน.เตาปูน ภายในสัปดาห์นี้ ตนจะเดินทางไปยื่นคำให้การและยื่นเอกสารเส้นทางการเงินพร้อมกับตัวพยาน แต่ขอปิดไว้ก่อนว่าพยานรายดังกล่าวเป็นใคร เพราะว่าพยานรายนี้อยู่ฝั่งตรงข้าม การเปิดชื่อหรือตัวตน เขาอาจได้รับอันตราย
นายษิทรา กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีบุคคลมากล่าวพาดพิงว่าตนเปิดเซฟเฮาส์ให้นายธนพล หรือ ดาบโจ หรือ “นัท” 1 ในบัญชีม้าเครือข่ายเว็บการพนันของ น.ส.พิมพ์วิไล มาซ่อนตัวนั้น ยืนยันว่านายธนพลมีตัวตนอยู่จริง แต่ตนไม่เคยเอาใครไปเก็บไว้ในเซฟเฮาส์ และตนไม่มีเซฟเฮาส์ อีกทั้งตนได้ข้อมูลมาตั้งแต่เดือน ต.ค.66 การจะไปเปิดเผยใครหรือเรื่องอะไรก็ต้องดูเรื่องความปลอดภัย เพราะเขาเสียสละบอกความจริง อาจถูกสั่งเก็บได้ แล้วมันจะไม่มีใครกล้าเอาความจริงมาบอก และการจะดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูง จะต้องมีคนข้างในพร้อมพลีชีพ แม้ตัวเองก็กระทำผิดแต่กลับเนื้อกลับตัวมาให้การว่าเส้นเงินจากบัญชีเว็บพนันไปถึง “รองฟาง” และ “ดาบยาว” ถ้าไม่มีคนในมาให้ข้อมูล จะเอาหลักฐานอะไรไปดำเนินการกับเครือข่ายเหล่านี้ และไม่ว่าเขาจะมีอะไรโกรธเคืองกันหรือไม่ แต่ข้อมูลมีประโยชน์กับประเทศชาติ ส่วนถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะออกหมายเรียกแก่นายธนพล ตนจะประสานให้เขาไปให้การก่อนที่จะมีการออกหมายเรียก
นายษิทรา กล่าวต่อว่า บุคคลที่ออกมาเปิดเผยในเรื่องเสียงสนทนานั้น เจ้าตัวเหมือนไม่รู้จักคนในคลิป คล้ายว่าได้รับคลิปต่อมาอีกทอด แล้วก็ไม่ใช่คนที่ชื่อธนพลอีกด้วย เป็นการไปหลอกนักข่าว ทั้งยังหลอกในเรื่องมีการนำตัวนายธนพลไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์ของตน ซึ่งท้ายสุดไม่มีอะไรเลย และตนรู้แค่ว่าบุคคลที่ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชนนั้นเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ. มีกิจกรรมการยิงปืนด้วยกัน อีกทั้งบัญชีม้าของนายณัฐพงศ์ก็ยังมีการโอนเข้าบัญชีนายคนนี้อีกด้วย นอกจากนี้ เสียงคลิปสนทนาที่มีการเปิดเผย ตนไม่ทราบว่าเป็นของใคร แต่วันนี้มีคนนำออกมาเผยแพร่ ความปลอดภัยในชีวิตของคนในคลิปเสียงก็คงไม่เหลือ ถ้าไม่มีเขาคนนี้ ตนจะดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดและตำรวจไซเบอร์ได้อย่างไร พอเขาถูกเปิดตัวแบบนี้ตนก็ต้องมาคิดด้วยว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไป
ต่อมาเวลา 11.10 น. พล.ต.ท.สรศักดิ์ พร้อมด้วยคณะกรรมการ ก.ร.ตร.อีก 4 ราย ประกอบด้วย 1.พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. 2.พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน อดีตรอง ผบช.น. 3.นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ และ 4.นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ ร่วมกันรับมอบเอกสารจากนายษิทรา
พล.ต.ท.สรศักดิ์ เปิดเผยว่า ชุดคณะกรรมการในวันนี้เป็นบุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้ตรวจการแผ่นดิน จากนี้เราจะไปดูว่าเอกสารภายในซองมีเรื่องอะไรบ้างและจะร่วมกันพิจารณา ถือว่าเป็นขั้นตอนการยื่นและรับเอกสารเพื่อไปสู่กระบวนการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ส่วนกรอบระยะเวลาในการดำเนินงานนั้น จะต้องเข้าสู่กระบวนการธุรการก่อน จากนั้นจึงจะเข้าสู่ที่ประชุมในการใช้อำนาจไต่สวนว่าจะมีอำนาจอย่างไร ตามกฎหมายคณะกรรมการอาจจะดำเนินการไต่สวนเองหรือมอบหมายให้จเรตำรวจแสวงหาข้อมูลเบื้องต้น แต่ในกรณีนี้จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคณะกรรมการว่าหากรับเรื่องเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วจะใช้อำนาจอย่างไรก็จะต้องไปดูรายละเอียดภายในเอกสารก่อน แล้วจึงจะมีการร่วมกันพิจารณา
ด้าน พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า การที่ทนายตั้มมายื่นเรื่องร้องเรียนกับตำรวจเพื่อขอให้ลงโทษทางวินัย กับตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันและการฟอกเงินฟอก ยืนยันว่าเราจะให้ความเป็นธรรม ขอให้เชื่อว่าคณะกรรมการชุดนี้ได้รับการคัดเลือกเป็นอย่างดี ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้ไม่ได้แต่งตั้งโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) แต่ได้รับการคัดเลือกมา ดังนั้น การทำงานจะอยู่นอกเหนืออำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งยังไม่ได้ขึ้นตรงกับหน่วยงานใด หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงใครต่อให้ยศเป็นระดับพลตำรวจเอกก็จะดำเนินคดีด้านวินัย ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ต้องว่าไปตามถูก
พล.ต.ท.เรวัช กล่าวว่า ถึงแม้ว่าวันนี้ทนายตั้มจะไม่ได้นำเอกสารมาร้องเรียนกับคณะกรรมการ แต่หากคณะกรรมการทราบเรื่องด้วยตัวเอง ก็จะนำเรื่องเข้าที่ประชุมเพื่อเข้าสู่การพิจารณาทันที ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติในวงกว้าง และกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ก็จะต้องมีการดำเนินการทันที พร้อมย้ำว่าไม่เคยหนักใจที่จะต้องทำงานนี้ ทุกอย่างว่ากันตามพยานหลักฐาน ไม่มีมวยล้มต้มคนดู ต่อให้เป็นระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หากพบหลักฐานความผิดก็จะดำเนินการให้หมด
ส่วนจะมีการเรียกทั้ง 2 บิ๊กตำรวจเข้ามาสอบถามหรือไม่นั้น พล.ต.ท.เรวัช ระบุว่า หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใครก็จะต้องเรียกมาสอบถามทั้งหมด และหากข้อเท็จจริงปรากฏก็จะต้องได้รับการลงโทษทางวินัยเช่นเดียวกัน ซึ่งการพิจารณาเรื่องโทษทางวินัย หนักสุดคือพิจารณาไล่ออก
ขณะที่ พล.ต.ท.อำนวย สอบถามกับทางทนายตั้มว่าเอกสารที่นำมายื่นในวันนี้ใช้เอกสารเดียวกับที่นำไปยื่นกับ บก.ปปป. หรือไม่ พร้อมกับถามทนายตั้มว่า จะเข้ามาให้ปากคำกับคณะกรรมการฯ อย่างเร็วที่สุดในวันที่เท่าไร ซึ่งทางทนายตั้ม ตอบกลับว่า ภายในอาทิตย์หน้าจะมาให้การพร้อมกับนำตัวพยานมาด้วย
ส่วนเรื่องการลงโทษทางวินัยนั้น พล.ต.ท.อำนวย ระบุว่า จะต้องไปตรวจสอบดูว่าวินัยร้ายแรงหรือไม่ ถ้าหากวินัยร้ายแรงก็จะต้องมีการพิจารณาปลดออกหรือไล่ออก แต่ถ้าวินัยไม่ร้ายแรงก็จะต้องมาพิจารณาดูอีกที ส่วนในกรณีหากศาลยกฟ้องในภายหลัง ต้องเรียนว่าในบางเรื่องอาจผิดวินัยแต่ทางอาญาไม่ผิดก็เป็นไปได้ แต่จากการที่เสื่อมเสียเกียรติยศการเป็นตำรวจก็จะต้องไปพิจารณาในรายละเอียดประกอบด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการได้เตรียมคำถามไว้สอบถามทนายตั้มแล้วแต่ทราบว่าทนายตั้มติดธุระในช่วงกลางวัน คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะเริ่มการสอบปากคำทนายตั้มได้
“กรณีการกลับเข้ามารับตำแหน่งหรือเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) นั้น วินัยบางเรื่อง การพิจารณาของ ก.ร.ตร. อาจจะพิจารณาถึงวินัย และการกระทำความผิดวินัยบางเรื่องนั้น ถ้าทำให้เสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำรวจ อาจจะเป็นข้อในการพิจารณาในการแต่งตั้ง เลื่อนตำแหน่งในอนาคตได้ ยืนยันว่าคณะกรรมการชุดนี้มีอิสระในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบแล้วมีการพิจารณาให้ออก ไล่ออก หรือปลดออก ตำรวจต้องไปยื่นอุทธรณ์ที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พท.ตร.) ส่วนคดีทางอาญานั้น เป็นหน้าที่ที่ต้องพิสูจน์ตามกระบวนการของกฎหมาย แต่หากการพิจารณาของ ก.ร.ตร. พบว่ามีคดีความผิดตามอาญา ก็จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาต่อไป” พล.ต.ท.อำนวย กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี