ทั่วไทยยังร้อนจัด
เหนือพุ่ง43องศา
‘เชียงใหม่’วิกฤต
อากาศแย่ที่1โลก
กรมอุตุฯ ชี้ทั่วไทย ยังร้อนจัดอย่างต่อเนื่อง ภาคเหนืออุณหภูมิสูงสุด 39-43 องศาเซลเซียส เชียงใหม่วิกฤตหนัก ฝุ่นพิษปกคลุมทั่วเมือง สภาพอากาศแย่เป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนไฟป่าแม่ฮ่องสอน ยังทวีความรุนแรง จุดความร้อนใกล้แตะ 1 หมื่นจุด
เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2567 กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศว่า ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัด โดยหลีกเลี่ยงการทำงานหรือการประกอบกิจกรรมในที่โล่งแจ้งเป็นระยะเวลานาน ขณะที่ลมใต้ยังคงพัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองเล็กน้อยบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง สำหรับลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ขณะที่ลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย ภาคเหนือ อากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิสูงสุด 39-43 องศาเซลเซียส ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค
อุณหภูมิสูงสุด 39-41 องศาฯ ภาคกลาง อากาศร้อนถึงร้อนจัดโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิสูงสุด 39-42 องศาฯ
ภาคตะวันออก อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนมากตามแนวชายฝั่งทะเล อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาฯ ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก) อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากที่ จ.สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา อุณหภูมิสูงสุด 33-39 องศาฯ ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก) อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20 ของพื้นที่ ส่วนมากที่ จ.พังงา กระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาฯ ส่วน กทม.และปริมณฑล อากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ อุณหภูมิสูงสุด 35-40 องศาฯ
ส่วนสถานการณ์ปัญหาฝุ่นควันไฟป่าและคุณภาพอากาศของ จ.เชียงใหม่ ยังคงวิกฤตอย่างต่อเนื่อง โดยสภาพตัวเมืองถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันหนาทึบตลอดทั้งวันติดต่อกันนานนับสัปดาห์แล้ว ซึ่งปัจจัยสำคัญเกิดจากไฟป่าในพื้นที่ รวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISDA) ระบุว่าในรอบ 24 ชั่วโมง พบจุดความร้อน (Hotspot) ในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวม 2,387 จุด อยู่ใน จ.เชียงใหม่ 561 จุด มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน 499 จุด อันดับ 3 ลำปาง 242 จุด อันดับ 4 ตาก 207 จุด และอันดับ 5 อุตรดิตถ์ 152 จุด
ขณะที่รายงานผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศจากสถานีของกรมควบคุมมลพิษ ต.ช้างเผือก , ต.ศรีภูมิ , ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ , ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม , ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว และ ต.หางดง อ.ฮอด พบค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อยู่ที่ 108.2ไมโครกรัม (มคก.)/ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) , 111.3 มคก./ลบ.ม. , 106 มคก./ลบ.ม. , 85.1 มคก./ลบ.ม. , 198.5 มคก./ลบ.ม.และ 84.1 มคก./ลบ.ม.ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.ส่วนค่าดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) อยู่ที่ 234,237,232,211,324 และ 210 ตามลำดับ จากค่ามาตรฐานไม่เกิน 100 ทั้งนี้ ภาพรวมคุณภาพอากาศอยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ
ด้านเว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศจากทั่วโลก แจ้งผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษทั่วโลก พบว่า จ.เชียงใหม่ มีดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 219 US AQI และค่า PM 2.5 วัดค่าได้ 169 มคก./ลบ.ม.เกินค่ามาตรฐานในระดับที่มีผลกระทบต่อทุกคนอย่างรุนแรง โดยผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศดังกล่าว อยู่ในอันดับที่ 1 ของเมืองหลักที่มีมลพิษอากาศสูงสุดของโลก
วันเดียวกัน ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ไฟป่ายังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยจุดความร้อนสูงถึง 9,967 จุด คาดว่าน่าจะเกิน 10,000 จุดอย่างแน่นอน ทำให้ฝุ่นพิษคละคลุ้งทั่วอาณาบริเวณ ส่งผลกระทบสุขภาพประชาชนในพื้นที่อย่างหนัก
ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละออง จ.แม่ฮ่องสอน รายงานสถานการณ์หมอกควันและฝุ่นละออง ประจำวัน ว่าพบจุดความร้อน 499 จุด รวมจุดความร้อนนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา รวม 9,967 จุด ซึ่งจุดความร้อนสะสมสูงสุด อยู่ที่ อ.แม่สะเรียง 2,158 จุด เกิดขึ้นสูงสุดในป่าอนุรักษ์ 5,504 จุด อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถดับไฟป่าได้ เนื่องจากเป็นเทือกเขาสูงชัน คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทั้งหมด ทำให้เกิดหมอกควันไฟป่าปริมาณสูง
นายพงษ์พิพัฒน์ มีเบญจมาศ นายก อบต.แม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Chai Pongpipat กรณีเกิดเหตุไฟป่าที่ส่งผลกระทบทำให้ต้นไม้ เสาไฟฟ้าหักโค่น และ ปิดเส้นทางการสัญจรเมื่อค่ำวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา บนถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 3004 ต.สบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ก่อนถึงบ้านห้วยกองมูล ซึ่งห้วงเวลาดังกล่าวมีรถชาวบ้านห้วยกระต่าย นำคนเจ็บ 2 คน ออกมาส่งโรงพยาบาล ต้องติดอยู่ด้วย พร้อมกับมีข้อความกับรูปถ่ายถึงเหตุชาวบ้านห้วยกระต่าย หมู่ 8 ต.แม่สามแลบ อ.สบเมย 2 คน เป็นสองสามีภรรยา ถูกไฟไหม้แขนและหน้าบางส่วน มีสาเหตุจากการไปช่วยดับไฟที่ลุกลามออกนอกเขตกันชนแนวป้องกันไฟป่า จากนั้นจึงมีชาวบ้านช่วยกันนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล แต่ระหว่างทาง พบไม้ล้มขวางถนนทับรถ 2 คัน ทางอำเภอสบเมย จึงนำรถช่วยส่งต่อโรงพยาบาลสบเมย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี