เปิดคำพิพากษาฉบับเต็มศาลอาญาคดีทุจริตฯสั่งจำคุก"กำนันนก" 2 ปี ไม่รอลงอาญา ส่วนก๊วน"15 ตำรวจ-พลเรือน"โดนถ้วนหน้า 1.4 -2 ปี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ-สนับสนุนเจ้าพนักงานฯช่วยเหลือ"หน่อง ท่าผา"มือปืนหลบหนี เหตุยิง"สารวัตรแบงค์"ตายในงานเลี้ยง ขณะที่ยกฟ้องตำรวจ 1 นาย
เมื่อเวลา 09.00 น.เศษวันที่ 9 เมษายน ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤตมิชอบกลาง ถนนเลียบทางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท 206/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท /2567 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ต. เกียรติศักดิ์ สมสุข ที่ 1 กับพวกรวม 23 คน โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ถูกฟ้องฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ส่วนจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 เป็นราษฎร เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของเจ้าพนักงานเป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,86,9 1, 92, 157 , 184 , 189,200 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ 16 นาย ในความผิดต่อตําแหน่งราชการหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพลเรือน 7 คน ในความผิดฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวม 23 คน
จากกรณีเมื่อคืนวันที่ 6 กันยายน 2566 พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว หรือสารวัตรแบงค์สารวัตรประจำสถานีตำรวจทางหลวง 1 กองกํากับการ 2 กองบังคับการตํารวจทางหลวง (สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล.) ถูกยิงเสียชีวิตภายในงานเลี้ยงที่บ้าน ของนายประวีณ จันทร์คล้าย หรืออดีตกํานันนก เเละมีการให้ความช่วยเหลือนายธนัญชัยหมั่นมาก หรือหน่อง ท่าผา ผู้ก่อเหตุหลบหนีการจับกุมและกระสุนปืนพลาดไปถูกและพ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล.จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อมานายธนัญชัน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปจับกุม และถูกวิสามัญฆาตกรรม
พวกจำเลยแถลงให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 23 คน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ นายประวีณ จำเลยที่ 22 จัดงานเลี้ยงโดยเชิญเจ้าพนักงานตำรวจจากหลายหน่วยงานและประชาชนที่คุ้นเคยหลายคนมาร่วมงาน ระหว่างงานเลี้ยงดังกล่าว จำเลยที่ 22 ไม่พอใจพ.ต.ต. ศิวกร ผู้ตาย อย่างมากจึงสั่งให้นายธนัญชัย ลูกน้องคนสนิท ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายหลายนัด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 พบเห็นนายธนัญชัย ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บอันเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงมีหน้าที่ต้องจับกุมตัวแต่กลับไม่จับกุมกลับปล่อยให้นายธนัญชัย หลบหนี ส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 16 เร่งรีบออกจากที่เกิดเหตุ ไม่กระทำการยับยั้งเหตุตามความจำเป็น
ขณะที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 22 และนายธนัญชัย ไม่ให้ต้องรับโทษ โดยจำเลยที่ 2 แย่งอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุจากนาย ธนัญชัย ห่อด้วยผ้าคลุมเก้าอี้และส่งมอบให้จำเลยที่ 1 เก็บไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 - 2 และที่ 23 ใช้ให้จำเลยที่ 17 นำอาวุธปืนดังกล่าวออกไปจากที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 17 นำไปฝังดินบริเวณใกล้บ้านพักอาศัยแห่งหนึ่ง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม จากนั้นจำเลยที่ 1 ใช้ให้จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 เก็บปลอกกระสุนปืนไปทิ้ง ล้างคราบเลือด และเก็บโต๊ะอาหารที่เกิดเหตุ
ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 5และที่ 5 ใช้ให้จำเลยที่ 18 ถอดเอาเครื่องบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ โดยจำเลยที่ 22 บอกจุดที่ติดตั้งกล้องวงจรปิด แล้วนำไปทิ้งลงคลองบริเวณโค้งสะพานวัดตาก้อง ต.ตาก้อง อ.เมืองนครปฐม จำเลยที่ 2- 3 และที่ 5 เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 22 ไม่ให้ต้องรับโทษ ร่วมกับจำเลยที่ 23 พาจำเลยที่ 22 หลบหนีขึ้นรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปยังบ้านพัก อีกแห่ง มีจำเลยที่ 23 เป็นผู้ขับ พร้อมกับจำเลยที่ 2 และที่ 5
ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ติดตามให้การคุ้มกัน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86, 91, 92, 157, 184, 189, 200 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 4, 172
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้ง23สามคนตามทางไต่สวนแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 16 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเป็นเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 (16) ยังเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 อีกด้วย จำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 ย่อมมีอำนาจและหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และสืบสวนคดีอาญาเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด แม้ประจำการอยู่คนละแห่งแตกต่างกัน แต่มีอำนาจและหน้าที่ทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ โดยเฉพาะความผิดซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (16), 17, 18 และมาตรา 80 ทั้งตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ตามมาตรา 6 ก็กำหนดอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจไว้สอดคล้องตามประมวลระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี ภาค 1 ระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดี และคู่มือการปฏิบัติมาตรฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ประสบเหตุ 2559
คดีนี้โจทก์มีพยานหลักฐานจากเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิด ที่จำเลยที่ 18 ถอดออกและโยนทิ้งน้ำ และข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยแต่ละคน สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำการกู้คืนได้ 12 ไฟล์วีดีโอ ไม่ปรากฏว่ามีการตัดต่อปรับเปลี่ยนแก้ไข เมื่อเปลี่ยนทำเป็นรูปภาพ แสดงให้เห็นการกระทำหรือพฤติการณ์ของจำเลยแต่ละคนตามช่วงเวลาเป็นลำดับอย่างละเอียดนับวินาที โดยมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพบุคคล รถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรืออื่น ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
ศาลให้จำเลยแต่ละคนมีโอกาสตรวจสอบความถูกต้อง ไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดได้โต้แย้งความไม่ถูกต้องหรือชี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น ศาลจึงรับฟังรับฟังได้เฉกเช่นพยานคนกลาง และเช่นเดียวกับพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ไม่มีส่วนได้เสีย นำเป็นพยานประกอบหลักฐานอื่นได้ และรับฟังสนับสนุนพฤติการณ์การกระทำของจำเลยแต่ละคนได้ด้วย
ศาลเห็นว่า จำเลยที่ 1 รู้เห็นเหตุการณ์คำพูดและกิริยาของนายประวีณ จำเลยที่ 22 กับนายธนัญชัยก่อนเป็นอย่างดี เห็นนายธนัญชัย ยืนถือปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า จำเลยที่ 1 เป็นสารวัตรสืบสวนถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ รับราชการกว่า 31 ปี มีประสบการณ์มาก เมื่อจำเลยที่ 2 คว้าและนำปืนออกจากนายธนัญชัย เมื่อพบเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้าจะต้องควบคุมตัวหรือจับกุมด้วยตนเองหรือจะสั่งการ หรืออาจร้องขอให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยเพื่อควบคุม ข้ออ้างว่าตกใจ สับสน ไม่มีทีมงานตนยู่ในพื้นที่ สภาพร่างกายนายธนัญชัย สูงใหญ่แข็งแรงกว่า ไม่กล้าควบคุมตัวเป็นลูกน้องคนสนิทของจำเลยที่ 22 น่าจะมาติดต่อมอบตัวในภายหลัง เข้าใจว่ามีผู้อื่นเข้าควบคุมตัวนแล้ว กับอยู่ในอาการมึนเมาสุรา ยืนลังเล และมีตำรวจอื่นพูดทำนองว่า “ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว ให้กลับบ้านไป” จึงขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปที่รีสอร์ทนั้น เป็นเพียงข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล
พนักงานตำรวจแต่ละคน แม้ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ไม่ได้อยู่ในเวลาปฏิบัติราชการ และแม้ไม่มีอุปกรณ์วัตถุก็อาจใช้ตัวเองปิดกั้นพื้นที่เกิดเหตุได้ เพื่อรอส่งมอบพื้นที่ให้แก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบพื้นที่ แต่จำเลยที่ 1 ไม่กระทำการดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 2 แม้คว้าแย่งปืนจากนายธนัญชัย ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ แต่การที่จำเลยที่ 2 ใช้ผ้าคลุมเก้าอี้มาห่อหุ้มอาวุธปืนเอาไว้โดยมีเจตนาเพื่อที่จะไม่ให้พยานหลักฐานจำพวกลายนิ้วมือแฝงหรือดีเอ็นเอถูกทำลาย แล้วส่งมอบอาวุธปืนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามหลักยุทธวิธีตำรวจและหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับการเก็บรักษาของกลาง แต่ก็ยังพอถือว่าเหมาะสมกับสถานการณ์การตัดสินใจในเวลานั้น
แต่เมื่อจำเลยที่ 2 คว้าแย่งอาวุธปืนในมือของนายธนัญชัยแล้วโดยอาจจะสั่งให้นาย ธ หยุดไม่ให้หลบหนี หรือร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจอื่นให้ช่วยจับกุมหรือติดตาม แต่จำเลยที่ 2 พกพาอาวุธปืนสั้น ชนิดกึ่งออโตเมติก ขนาด 9 มม. ยี่ห้อซิกซาวเออร์ พร้อมกระสุน 10 นัด ติดตัวอยู่ด้วย ย่อมหรือใช้อาวุธปืนดังกล่าวในการติดตามจับกุมทันทีต่อเนื่องกันไปในการที่จะระงับยับยั้งไม่ให้นายธนัญชัยหลบหนีไปได้ การที่จำเลยที่ 2 อ้างว่ามีอายุมากและสุขภาพไม่ดี มึนเมาสุราไม่อาจเป็นข้ออ้างได้ แต่กลับปล่อยให้นาย ธนัญชัย เดินไปขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีไป ส่วนการพบภาพจำเลยที่ 2 วิ่งไปที่ลานจอดรถ เข้าไปพยุงร่างของผู้ตายนำขึ้นรถยนต์ เข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บนับเป็นสิ่งที่เหมาะสมในสถานการณ์ขั้นเผชิญเหตุ แต่ต่อมากลับขึ้นโดยสารรถยนต์ไปพร้อมกับนายประวีณจำเลยที่ 22 ออกจากสถานที่เกิดเหตุ ไปยังบ้านพักอีกแห่งของ โดยไม่อยู่ปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ
ส่วนจำเลยที่ 3 นั่งหันหลังให้โต๊ะเดี่ยววีไอพี ห่างจุดที่มีการยิงกันราว 3 เมตร จนเกิดเสียงปืนดัง 4 นัด ขณะเกิดเหตุไม่มีเสียงดนตรีและเป็นเวลากลางคืนย่อมมีเสียงดังมาก โดยสัญชาตญาณทั่วไปบุคคลย่อมที่จะหันหน้าไปยังทิศทางของต้นเสียงในทันที ย่อมเห็นเหตุการณ์ที่มีการยิงผู้ตายจำเลยที่ 3 เห็นขณะที่จำเลยที่ 2 คว้าแย่งอาวุธปืนจากมือของนายธรนัญชัย แต่ไม่มีผู้ใดควบคุมตัวจนหลบหนีไปในทันทีโดยง่าย จำเลยที่ 3 ย่อมอาจแสดงให้เห็นว่าพยายามจะติดตามจับกุม หรืออาจร้องขอในการที่ให้เจ้าพนักงานตำรวจอื่นช่วยกันจับกุมหรือติดตามไปในทันทีแต่ไม่กระทำจากนั้นกลับขับรถจักรยานยนต์ออกไปและติดตามไปที่บ้านพักอีกแห่งของจำเลยที่ 22 ไม่ปรากฏว่าขับรถจักรยานยนต์ตำรวจจราจรไปช่วยอำนวยความสะดวกระหว่างทางที่มีการส่งตัวผู้ตายหรือผู้ได้รับบาดเจ็บไปที่รพ.นครปฐม
จำเลยที่ 4 ภาพจากกล้องวงจรปิด หลังเกิดเหตุ พบจำเลยที่ 4 นั่งอยู่ที่โต๊ะจีนหันไปมองเหตุการณ์ จากนั้นเดินไปขึ้นรถยนต์ออกที่เกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 4 พบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าแต่เกรงกลัวภยันอันตรายที่เกิดขึ้นเฉพาะตน โดยนั่งรออยู่ในรถยนต์ส่วนตน ทั้งที่พกพาอาวุธปืนสั้น ชนิดกึ่งออโตเมติก ขนาด 9 มม. ยี่ห้อซิกซาวเออร์ เอพี 320 กระสุนปืนไว้ 10 นัด ติดตัว แต่ไม่ได้ใช้อาวุธปืนในการที่จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในการระงับยับยั้ง แต่กลับดูเหตุการณ์จนนายธนัญชัย หลบหนี ข้ออ้างว่า นั่งอยู่ในรถรอเหตุการณ์ให้ปกติ เรื่องความสูงอายุ สุขภาพร่างกายและการเจ็บป่วย กลัวบุคคลอื่นเป็นอันตรายนั้น เป็นเพียงข้ออ้างเหตุผลส่วนตัว ผิดวิสัยของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 ภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อ ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดได้หันหน้าไปมองจุดเกิดเหตุอยู่เป็นระยะ จะต้องมองไปยังจุดที่เป็นแหล่งต้นเสียง ย่อมเป็นข้อพิรุธว่าจะไม่ทราบถึงเหตุการณ์การใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ แต่รีบกลับออกจากที่เกิดเหตุ
ส่วนจำเลยที่ 7 พบเห็นนายธนัญชัย ยืนถืออาวุธปืนอยู่ที่บริเวณโต๊ะวีไอพี แม้จะอ้างว่าอยู่ไกล 7 เมตร แม้ไม่อาจจับกุมได้เนื่องจากอยู่ห่างออกไป แต่ก็อาจตะโกนร้องขอให้จับกุมผู้ก่อเหตุได้ แต่ไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อระงับยับยั้ง เมื่อเหตุการณ์สงบจำเลยที่ 7 ควรใช้รถจักรยานยนต์สายตรวจจราจรของทางราชการให้เป็นประโยชน์แก่สถานการณ์ นำทางเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่รถยนต์ที่นำส่งผู้ตายและผู้บาดเจ็บส่งที่โรงพยาบาล แต่กลับขับรถจักรยานยนต์ออกจากที่เกิดเหตกลับบ้านพักของตน
ส่วนจำเลยที่ 8 ถึงที่ 11 ลุกจากโต๊ะจีน แต่ไม่มีพฤติการณ์ใดที่แสดงให้เห็นว่าจะเข้าไปช่วยเหลือผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ข้ออ้างว่าเกรงจะเป็นการกีดขวางการช่วยเหลือ ไม่สมเหตุผล จำเลยที่8อ้างว่าไม่ติดตามจับกุมเพราะเห็นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอื่นเข้าไปควบคุมตัวแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดควบคุมตัวเลย โดยจำเลยที่8มีประสบการณ์มีวุฒิภาวะพอสมควร จะต้องมีความกล้าหาญในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ให้ประจักษ์ เป็นตัวอย่างให้แก่จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นพนักงานตำรวจที่จบการศึกษามาใหม่เพิ่งบรรจุเข้ารับราชการ จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 เป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมวิชาการตำรวจหรือยุทธวิธีตำรวจอย่างน้อยในระดับพื้นฐานมาแล้ว ย่อมสังเกตมองติดตามจะต้องเห็นได้ว่าไม่มีการจับกุมตัวนายธนัญชัยแต่อย่างใด
ส่วนจำเลยที่ 12 ขณะเกิดเหตุเห็นคนก่อเหตุ หยิบอาวุธปืนขึ้นมาสไลด์ลำกล้องแล้วหันปากกระบอกปืนไปยังผู้ตายยิงรัวใส่ 4 นัด ยืนดูเหตุการณ์ห่างจากจุดที่ก่อเหตุอยู่ 3 เมตร กลับวิ่งไปที่รถยนต์อ้างว่าเพื่อไปหาอาวุธปืนมาระงับเหตุ แต่ค้นหาอาวุธปืนไม่พบจึงทราบว่าไม่ได้พกพาติดรถมาด้วย ขาดความมั่นใจ จึงตัดสินใจขึ้นรถยนต์แล้วขับกลับบ้านพักของตน ไม่แสดงให้เห็นว่าพยายามที่จะเข้าทำการจับกุมหรือจะช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
ส่วนจำเลยที่ 13 แม้จะไม่เห็นขณะนายธนัญชัยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แต่เห็นว่านายธนัญชัย ยืนอยู่ข้างผู้ตาย ย่อมทราบในทันใดว่าเป็นผู้ร้ายที่กระทำผิดสด ๆ จำเลยที่ 13 ย่อมน่าจะมีวุฒิภาวะ การตัดสินใจที่เป็นไปตามลำดับขั้นตอน ตามยุทธวิธีปฏิบัติของเจ้าพนักงานตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี แต่อ้างว่า ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันตัวจากอันตรายที่ตนไม่ทราบสาเหตุ จึงรีบเดินออกจากบริเวณดังกล่าวไปขึ้นรถยนต์กระบะของตน แล้วขับขี่ออกจากที่เกิดเหตุไปยังที่พักอาศัยแฟลตตำรวจ ข้ออ้างเรื่องเหตุมึนเมาสุราไม่อาจเป็นข้ออ้างตามกฎหมายได้ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 13 ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 14 ขณะเกิดเหตุยืนพูดคุยโทรศัพท์อยู่ข้างสระน้ำ ไม่ได้พบเห็นเหตุการณ์ขณะที่มีการยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ ขณะเกิดเหตุพบภาพของจำเลยที่ 14 และพบภาพรถยนต์เก๋งของจำเลยที่ 14 ขับเลี้ยวเข้ามาในโรงพยาบาล กล้องวงจรปิดโถงห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลพบเข้ามาภายในห้องโถง ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 14 ฟังขึ้น
ส่วนจำเลยที่ 15 เห็นนาย ธ เดินไปที่โต๊ะวีไอพี ยิงผู้ตายคือและผู้บาดเจ็บ หลังเกิดเหตุเสียงปืนนัดแรก 2.17 นาที พบภาพจำเลยที่ 15 เดินมาจากฝั่งเวทีมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำ เดินเข้าห้องน้ำและออกจากห้องน้ำเดินมุ่งหน้าไป
ทางด้านหน้าเวที ยืนพูดคุยกับเพื่อนตำรวจ หลังเกิดเหตุเสียงปืนนัดแรก 10.26 นาที พบภาพรถยนต์เก๋งของจำเลยที่ 15 ขับผ่านกล้องวงจรปิดจุดที่พักสายตรวจตาก้อง ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยที่ 15 ระหว่างช่วงเวลาจากนั้นพบการใช้เสาสัญญาณในอำเภอกำแพงแสน ลักษณะเดินทางกลับออกจากที่เกิดเหตุแล้ว เมื่อพบเห็นเหตุการณ์สด ๆ และเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า แต่ไม่กระทำการระงับยับยั้ง ไม่พยายามที่ทำการจับกุม การช่วยโบกรถยังไม่เพียงพอ ทั้งยังขับรถยนต์ออกจากที่เกิดเหตุไปในทันที ส่วนจำเลยที่ 16 ขณะเกิดเหตุยืนพูดคุยโทรศัพท์อยู่ข้างสระน้ำได้ยินเสียงอาวุธปืนดังขึ้น 4 นัด หันไปดูมีแสงไฟจากลำกล้องปืน พบเห็นการกระทำความผิดซึ่งหน้าแล้วแต่ไม่ได้กระทำการเพื่อจับกุมหรือยับยั้งไม่ให้นาย ธ หลบหนี แต่ลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าไปทางในลักษณะรีบเร่งมุ่งไปทางลานจอดรถ แม้จะเข้าช่วยเหลือด้วยการเปิดประตูรถยนต์ฝั่งที่มีคนอุ้มผู้ตายเพื่อนำส่งโรงพยาบาล แล้วเดินกลับไปยังจุดที่ผู้บาดเจ็บล้มลง ตรวจดูบริเวณแขนขวาของผู้บาดเจ็บ เดินออกและขับรถออกไปจากที่เกิดเหตุ แม้มีการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยโทรศัพท์ไปหาเจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลอื่น ๆ ประมาณ 20 ครั้ง/คน และต่อมาได้เดินทางกลับมายังที่เกิดเหตุอีกครั้ง แต่ที่เกิดเหตุถูกเก็บกวาดปลอกกระสุนปืน เก็บโต๊ะอาหาร เก็บผ้าปูโต๊ะที่เปื้อนคราบเลือด จึงเป็นการไม่ได้จัดให้มีการปิดกั้นหรือป้องกันสถานที่เกิดเหตุ รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อรอส่งมอบพื้นที่ให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้รับผิดชอบพื้นที่ ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 จึงเป็นความผิดเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 หรือไม่ ส่วนจำเลยที่ 14 พยานหลักฐานยังไม่พอฟังว่ามีความผิดฐานดังกล่าว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 17 และที่ 23 โดยมีการนำอาวุธปืนออกไปเสียจากที่เกิดเหตุแล้วนำไปฝัง เป็นความผิดตามของฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 เมื่อได้รับห่ออาวุธปืนจากจำเลยที่ 2 แล้ว แต่ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 17 ที่เป็นประชาชนที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งที่ขณะนั้นมีเจ้าพนักงานตำรวจอื่นอยู่ในที่เกิดเหตุเป็นจำนวนมากที่สามารถจะเก็บรักษาไว้เพื่อดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจติดตามที่จะทวงถามเกี่ยวกับอาวุธปืนจากจำเลยที่ 17 ขณะนั้นไม่ปรากฏว่าได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเพียงพอ อาวุธปืนเป็นวัตถุพยานและพยานหลักฐานอันสำคัญที่จะพิสูจน์ความผิดของผู้กระทำผิด มิใช่จะอาศัยแต่พยานบุคคลจำนวนมากที่ร่วมอยู่ในที่เกิดเหตุการณ์ก็เพียงพอตามที่อ้าง จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจมายาวนานกว่า 31 ปี ย่อมรู้ว่าอาวุธปืนจะต้องนำส่งแก่พนักงานสอบสวนเพื่อนำส่งตรวจพิสูจน์ภายหน้า มิใช่มอบให้แก่ประชาชนทั่วไปซึ่งไม่ใช่บุคคลที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง โดยภายหลังก็ไม่ใส่ใจติดตามเอาคืน ผิดวิสัยของนายตำรวจในตำแหน่งสารวัตรสืบสวน ซึ่งเป็นผู้ได้รับการศึกษาอบรมเกี่ยวกับอาวุธปืนของกลาง จนมีการนำอาวุธปืนดังกล่าวไปฝังดินซุกซ่อน ส่วนของจำเลยที่ 2 ที่ 17 และที่ 23 นั้นเห็นว่า หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 17 โทรศัพท์ไปหาจำเลยที่ 23 ได้ยินจำเลยที่ 2 บอกว่า “เอาออกจากแพล้นไปก่อน” จำเลยที่ 17 ถามว่า “ให้เอาปืนไปไว้ไหนจะเอาไปฝังหรือไปโยนทิ้งน้ำ” จำเลยที่ 23 ตอบว่า “ให้เอาไปฝังหรือเอาไปไว้ที่บ้านเองก่อนก็ได้ ถ้าจะเอาไปฝัง ให้จำไว้ด้วยว่าฝังไว้ตรงไหน” ต่อมาโทรศัพท์ไปหาอีกครั้ง จำเลยที่ 23 ส่งโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 2 พูดผ่านโทรศัพท์ว่า “ให้เก็บไว้ที่เองก่อน รอให้เรื่องเงียบ เดี๋ยวจะมีคนมาเอา” ต่อมาดูข่าวในโทรทัศน์ทราบเรื่องที่นาย ธ ก่อเหตุยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บและถูกวิสามัญฆาตกรรม เชื่อว่าอาวุธปืนที่ได้รับจากจำเลยที่ 1 เป็นกระบอกเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุ หากไม่มีเจตนาที่จะกระทำผิดย่อมแจ้งเรื่องราวเกี่ยวกับอาวุธปืนให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่นำห่ออาวุธปืนลงในหลุมและฝังกลบ จำเลยที่ 17 พาเจ้าพนักงานตำรวจพาไปทำการตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุน สอดคล้องกับคำรับสารภาพ จำเลยที่ 17 รู้เห็นและทราบเหตุการณ์ว่ามีการยิงผู้ตาย ทราบตั้งแต่รับฝากแล้วว่าในห่อผ้ามีอาวุธปืนกระบอกที่ใช้ยิงผู้ตาย โดยสภาพอาวุธปืนเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับฝากหรือมีไว้ในครอบครอง มิฉะนั้นอาจมีความผิดตามกฎหมาย แต่ไม่นำส่งอาวุธปืนแก่เจ้าพนักงานตำรวจในโอกาสแรก แต่กลับนำไปขุดกลบฝังตามที่ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 โดยที่อาวุธปืนเป็นวัตถุพยานอันสำคัญ พยานหลักฐานของจำเลยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ทั้งมีข้อมูลการใช้งานโทรศัพท์ของจำเลยที่ 17 ได้โทรศัพท์ไปหาจำเลยที่ 23 พยานหลักฐานมีความสอดคล้องกัน ทั้งจำเลยที่ 17 และที่ 23 ต่างเป็นลูกจ้างหรือคนงานของจำเลยที่ 22 ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองซึ่งกันและกัน ขณะที่ให้การต่อพนักงานสอบสวน ไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ให้การบิดเบือนผิดไปจากความจริง คำให้การชั้นสอบสวนมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคำให้การในชั้นศาล เชื่อว่าจำเลยที่ 17 ให้การไปตามความสัตย์จริง พยานหลักฐานรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ 17 และที่ 23 เป็นความผิดตามฟ้องฐานนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ที่ 5 ที่ 18 และที่ 22 กระทำการเกี่ยวข้องกับการถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุแล้วให้นำไปทิ้งเป็นความผิดตามฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 18 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยมีเนื้อหาตรงกันทั้งสองครั้งว่า หลังจากจำเลยที่ 22 เดินออกจากห้องเรือนกระจก พบจำเลยที่ 2 และที่ 5 หนึ่งในสองคนนี้พูดขึ้นว่า “กล้อง” ซึ่งหมายถึงกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ หนึ่งในสองคนนั้นมีคนพูดเสริมขึ้นว่า “เออ ๆ มีกล้องวงจรปิด” จำเลยที่ 18 ถามจำเลยที่ 22 ว่า “กล้องอยู่ที่ไหน” จำเลยที่ 22 พูดว่า “อยู่ในร้านกาแฟ” พร้อมกับชี้มือไปทางห้องซึ่งเป็นร้านกาแฟอยู่ในบริเวณดังกล่าว จำเลยที่ 18 วิ่งไปที่ห้องดังกล่าว ทำการถอดตัวเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดออกแล้วเดินออกมา จำเลยที่ 18 ยืนยันว่าเหตุที่ต้องถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ เนื่องจากจำเลยที่ 22 เป็นผู้มีบุญคุณกับตนมาก่อน จำเลยที่ 18 นำเจ้าพนักงานตำรวจไปที่สถานที่ตรวจยึดจุดที่ 1 ในลำคลองบริเวณโค้งสะพานวัดตาก้อง นำชี้และยืนยันจุดทิ้งด้วยความสมัครใจ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าหน้าที่ประดาน้ำตรงตามที่ให้การ คำให้การที่ยืนยันใกล้ชิดช่วงเวลาที่เกิดเหตุมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าคำให้การในชั้นพิจารณาอ้างจำเลยที่ 22 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีลักษณะที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 22 พยานเป็นผู้ร่วมกระทำผิดและต่างถูกดำเนินคดี มิใช่พยานซัดทอดให้ตนเองพ้นผิด หากจำเลยที่ 22 ไม่เป็นผู้บอกและชี้มือในขณะนั้นไปทางห้องจุดติดตั้งเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดตามที่จำเลยที่ 5 เป็นผู้ถาม อันเป็นการยืนยัน ย่อมทำจำเลยที่ 18 ซึ่งตามสภาพวัยและวุฒิภาวะอาจเกิดความลังเลตัดสินใจว่าจะกระทำหรือไม่ ไม่อาจตัดสินใจโดยฉับพลันเช่นนี้ ทั้งไม่กล้ากระทำการโดยลำพังหากไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากจำเลยที่ 22 จำเลยที่ 18 เป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำกลาง จำเลยที่ 22 มีตำแหน่งหน้าที่ทางการปกครองท้องที่เป็นกำนัน ต่างทราบว่าเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดเป็นวัตถุพยานหลักฐานอันสำคัญ ที่จะแสดงให้เห็นถึงเหตุการณ์ขณะกระทำผิดได้เป็นอย่างดี และสามารถพิสูจน์ความผิดของนาย ธ และบุคคลบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ ทั้งยังทราบว่าจำเลยที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา มีหน้าที่รักษาสถานที่เกิดเหตุและพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 22 ทราบแห่งมูลคดีมาตั้งแต่แรก ถือเป็นราษฎรที่ให้การช่วยเหลือเจ้าพนักงานให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นความผิดตามฟ้อง แต่ตามทางไต่สวนจำเลยที่ 2 ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ห้ามหรือเห็นแย้งเพียงแต่มองเหตุการณ์ แม้จะมีภาพจำเลยที่ 2 เดินเข้าไปในห้องกระจก ไม่มีพยานหลักฐานใดนอกจากนี้ที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องให้ถอดเครื่องบันทึกข้อมูลภาพกล้องวงจรปิดจากสถานที่เกิดเหตุแต่อย่างใด พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอให้รับฟังจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า การกระทำเกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการเก็บกวาดปลอกกระสุน การล้างคราบเลือด การเก็บโต๊ะวีไอพี จำเลยที่ 1 และที่ 19 ถึงที่ 21 กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 19 เป็นผู้ร่วมกระทำผิด คำให้การดังกล่าวมิใช่การซัดทอด รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ จำเลยที่ 19 รู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน รู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ไม่มีสาเหตุที่จะให้การปรักปรำให้เป็นผลร้ายเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีสถานภาพทางสังคมที่สูงกว่า ข้ออ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจทุกคนไม่สามารถสั่งการให้ทำอะไรให้ได้เพราะทุกคนฟังคำสั่งของจำเลยที่ 22 เท่านั้น เห็นว่า ในส่วนนี้คงเป็นเฉพาะในเรื่องหน้าที่การงานในทางการที่จ้างเฉพาะโดยตรง แต่ในกรณีการสั่งให้เคลียร์พื้นที่เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าอย่างฉับพลัน การทำให้ไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดที่เกี่ยวข้องทางคดีแก่จำเลยที่ 22 ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และยอมทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ลูกจ้างหรือคนงานเกิดความยำเกรงพร้อมที่จะเชื่อถือและปฏิบัติตามคำสั่งโดยทันที ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ทำร้ายร่างกาย ขู่บังคับ ให้สัญญา หลอกลวง หรือกระทำการใดอันมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 เพื่อให้การอย่างใด การสอบสวนทุกครั้ง จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 ก็มีบุคคลที่ไว้วางใจร่วมอยู่ในการสอบสวน โดยให้การไปตามรายละเอียดข้อเท็จจริงในส่วนเฉพาะของตน มีข้อความที่สอดคล้องกันเป็นส่วนใหญ่ และไม่ตรงกันในบางส่วนที่เป็นรายละเอียดเล็กน้อย เชื่อว่าจำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 ให้การตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น คำให้การในชั้นสอบสวนดังกล่าวน่าเชื่อถือกว่าคำให้การและทางนำสืบในชั้นศาล ซึ่งเป็นการเสริมแต่งข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในภายหลัง ปลอกกระสุนปืนทองเหลืองจำนวน 4 ปลอก ที่ตกหล่นอยู่พื้นลานบริเวณที่เกิดเหตุ บุคคลธรรมดาทั่วไปโดยวิสัยวิญญูชน ย่อมทราบว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ใช้อาวุธปืนยิงจนมีผู้ตายและได้รับบาดเจ็บ ปลอกกระสุนปืนดังกล่าวย่อมเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญในคดีอยู่แล้ว หาจำต้องใช้ความรู้พิเศษอื่น เมื่อพิเคราะห์ถึงอายุ อาชีพ ประสบการณ์ การตัดสินใจ ของจำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 ประกอบสภาวะที่เกิดเหตุในขณะนั้น เป็นการยากที่จำเลยดังกล่าวจะตัดสินใจจัดการกับวัตถุพยานต่าง ๆ ข้างต้นเอง โดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้มีอำนาจการตัดสินใจที่เหนือกว่า การที่จำเลยที่ 19 ถึงที่ 21 ช่วยกัน เก็บปลอกกระสุนปืนไปทิ้งล้างคราบเลือดในที่เกิดเหตุ และเก็บโต๊ะจีนที่เกิดเหตุ อันเป็นการทำให้เสียหายทำลายซ่อนเร้น หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำผิด จำเลยดังกล่าวย่อมรู้ว่า เป็นพยานหลักฐานในการกระทำผิด ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เพื่อจะช่วยนาย ธ ผู้กระทำผิดผู้อื่น เป็นการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นความผิดตามฟ้อง
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 23 กระทำอันเป็นการช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้ที่พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ตามฟ้องหรือไม่ แต่ข้อเท็จจริงทางไต่สวนยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 22 มีการกระทำหรือพฤติการณ์ใดที่บ่งชี้ว่าเป็นผู้ใช้ หรือผู้สั่ง หรือมีส่วนในการที่นายธนัญชัย ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้บาดเจ็บ แม้จำเลยที่ 2 จะได้เข้าไปในห้องกระจกร่วมกัน แต่ไม่พยานหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่ามีการปรึกษา
ส่วนจำเลยที่ 15 เห็นนาย ธนัญชัย เดินไปที่โต๊ะวีไอพี ยิงผู้ตายคือและผู้บาดเจ็บ หลังเกิดเหตุเสียงปืนนัดแรก 2.17 นาที พบภาพจำเลยที่ 15 เดินมาจากฝั่งเวทีมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำ เดินเข้าห้องน้ำและออกจากห้องน้ำเดินมุ่งหน้าไปหารือเกี่ยวกับการพากันหลบหนีไปที่แห่งอื่นหรือไม่ พยานหลักฐานโจทก์ตามทางไต่สวนยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 22 มีส่วนเป็นผู้สั่งหรือผู้ใช้ให้นายธนัญชัยกระทำผิด การร่วมนั่งรถยนต์ไปยังบ้านพักอีกแห่งหนึ่ง จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่ากระทำความผิดฐานนี้ จำเลยที่ 3 รู้เห็นเหตุการณ์ตลอด หากประมวลกริยาท่าทางอาการโกรธ พูดจาเสียงดัง ย่อมต้องรับทราบโดยวิสัยและอาชีพว่ามีสาเหตุความโกรธเคืองระหว่างจำเลยที่ 22 กับผู้ตาย ทั้งจำเลยที่ 22 ได้พยักหน้าให้แก่นาย ธ ในถ้อยคำซึ่งย่อมต้องรู้หรือควรจะรู้ว่าใช้คำพูดดังกล่าวเพื่อต้องการสื่อความหมายให้ทราบเพื่อกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง คำพูดดังกล่าวจึงน่าจะเป็นการที่จำเลยที่ 3 ควรจะรู้หรือเข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นต้นเหตุหรืออาจจะเป็นใช้ในการที่นาย ธ ใช้อาวุธปืนยิง แต่จำเลยที่ 3 มิได้ทำการสืบสวนเบื้องต้นตามหน้าที่ แต่ขับขี่รถจักรยานยนต์ตำรวจสายตรวจติดตามรถของจำเลยที่ 22 ตามไปส่งถึงบ้านพักอีกแห่ง จึงเป็นความผิดฐานดังกล่าว จำเลยที่ 5 แม้จะหันหลังให้กับโต๊ะวีไอพี เพียง 2 ถึง 3 เมตร ระหว่างที่มีการท้าทายดื่มสุราส่งเสียงเชียร์ย่อมได้ยินเสียงและทราบมูลเหตุ คำพูดว่า “เอามันเลยไหม” เป็นคำพูดที่นายธนัญชัยถามเพื่อต้องการยืนยันว่าให้ใช้อาวุธปืนยิง เมื่อจำเลยที่ 5 ทราบข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 22 น่าจะเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดในความผิดต่อชีวิตและร่างกายอันมิใช่ความผิดลหุโทษ และนั่งรถยนต์ไปพร้อมกันไปบ้านพักอีกแห่ง จึงเป็นความผิดฐานนี้ และส่วนจำเลยที่ 23 พยานหลักฐานของโจทก์ตามทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าได้รู้เห็นในขณะที่จำเลยที่ 22 เข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของนายธนัญชัย หรือไม่ เพียงใด มีแต่แต่เพียงภาพของจำเลยที่ 23 ที่เข้าไปในห้องกระจก และไปที่รถยนต์ขับรับจำเลยที่ 22 กลับไปบ้านแล้วขับรถจักรยานยนต์กลับบ้านของตน จำเลยที่ 23 เป็นเพียงพนักงานขับรถ การขับรถยนต์พาไปส่งที่บ้านอีกแห่งหนึ่ง อาจเป็นเพียงการทำตามหน้าที่พลขับของตนตามปกติระยะเวลาใกล้ชิดการเกิดเหตุเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอให้รับได้ว่าจำเลยที่ 23 มีความผิดฐานดังกล่าวนี้
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84, และมาตรา 200 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 189 ประกอบมาตรา 83, และมาตรา 200 จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84, มาตรา 189 ประกอบมาตรา 83, และมาตรา 200 จำเลยที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 16 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำเลยที่ 17 ถึงที่ 21 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 22 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 จำเลยที่ 23 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, มาตรา 184 ประกอบมาตรา 84 และจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 มีความผิดพ.รป..ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 ดังกล่าวจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวคือเพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษ และเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 จึงเป็นกรรมเดียว ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 ถึงที่ 23 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
จึงให้ลงโทษตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ซึ่งมีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 และที่ 15 และที่ 16 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และลงโทษจำเลยที่ 17 ถึงที่ 23 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86
เมื่อพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยแต่ละคนแล้ว เห็นสมควรกำหนดโทษรายบุคคลให้เหมาะสมแห่งการกระทำ คือ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 จำคุกคนละ 3 ปี จำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 13 ที่ 15 ถึงที่ 23 จำคุกคนละ 2 ปี และเฉพาะจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ให้ปรับคนละ 60,000 บาท ด้วย เพิ่มโทษจำเลยที่ 21 หนึ่งในสามตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 7 ที่ 15 และที่ 16 เข้าช่วยเหลือผู้ตาย และ/หรือผู้บาดเจ็บ ตามแต่กรณี และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 16 ปฏิบัติราชการมีผลงานและคุณความดีมาก่อน ทั้งคำให้การในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 17 ถึงที่ 21 และที่ 23 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน จึงมีเหตุบรรเทาโทษ เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 13 จำเลยที่ 15 ถึงที่ 21 และที่ 23 คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ส่วนจำเลยที่ 22 ให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีตลอดมาจึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษ คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 คนละ 2 ปี คงจำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 13 ที่ 15 ถึงที่ 20 และที่ 23 คนละ 1 ปี 4 เดือน และเฉพาะส่วนจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 คงให้ปรับคนละ 40,000 บาท ด้วย จำเลยที่ 21 คงจำคุก 1 ปี 9 เดือน 10 วัน ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อศาลคำนึงถึงอายุขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 9 อายุ 27 ปี จำเลยที่ 10 เพียงอายุ 21 ปี จำเลยที่ 11 อายุเพียง 23 ปี จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ประวัติเพิ่งเข้ารับราชการตำรวจเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ตำแหน่งพลสำรองสังกัดศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 7 จังหวัดนครปฐม การเรียนฝึกอบรมศึกษาในช่วงสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19 ผ่านระบบออนไลน์ไม่เต็มตามระบบ หลังจากจบการอบรมได้รับบรรจุแต่งตั้งมียศเป็นสิบตำรวจตรี ตำแหน่งผู้บังคับหมู่กองร้อยควบคุมฝูงชน กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ก่อนเกิดเหตุประมาณสองเดือน ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเจ้าพนักงานตำรวจจราจร ไม่เคยทำงานด้านงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเลย ส่วนจำเลยที่ 19 และที่ 20 เป็นเพียงคนงานหรือลูกจ้างทำความสะอาด และส่วนจำเลยที่ 23 เป็นเพียงคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 22 กระทำผิดเป็นครั้งแรก เมื่อคำนึงถึงการศึกษาอบรม อาชีพ สิ่งแวดล้อมและสภาพการกระทำความผิดภายใต้สภาวการณ์ ทั้งไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไว้ภายในระยะเวลา 2 ปี โดยให้คุมความประพฤติของจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไว้ภายในกำหนด 2 ปี ให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23ไว้ภายในกำหนด 2 ปี ให้จำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ทำงานบริการสังคมและสาธารณประโยชน์ ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรและจำเลยยินยอมเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ภายในระยะเวลาคุมประพฤติดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 9 ถึงที่ 11 ที่ 19 ที่ 20 และที่ 23 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และมาตรา 30 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 14 และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้งหมดประกอบด้วย
จำเลยที่ 1 พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ สมสุข
จำเลยที่ 2 ร.ต.ท.ประสาร รอดผล
จำเลยที่ 3 ร.ต.ท.นิมิตร สลิดกุล
จำเลยที่ 4 ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ แตงอำไพ
จำเลยที่ 5 ร.ต.ท.สรรเสริญ ศรีสวัสดิ์
จำเลยที่ 6 จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา
จำเลยที่ 7 ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา
จำเลยที่ 8 ร.ต.อ.ประสมมาศ แสงสุขดี
จำเลยที่ 9 ส.ต.ต.สุทธิกานต์ แซ่ฮ้อ
จำเลยที 10 ส.ต.ต.สรรเสริญ ศรีอุบล
จำเลยที่ 11 ส.ต.ต.ธนทัต ท่าน้ำตื้น
จำเลยที่ 12 ร.ต.อ.นุชิต บรรณชัย
จำเลยที่ 13 ด.ต.ถนอมศักดิ์ มีศรี
จำเลยที่ 14 จ.ส.ต.อภิรักษ์ โรจน์พวง
จำเลยที่ 15 ร.ต.อ.ศิริชัย รูปสวย
จำเลยที่ 16 ร.ต.ท.สมโชค บัวไชย
จำเลยที่ 17 นายสนธยา สุดแน่น
จำเลยที่ 18 นายฐิตินันท์ อินทร์ต้นวงศ์
จำเลยที่ 19 นายนิวัติชัย ปั้นดา
จำเลยที่ 20 นายกฤษดา เหล่งดอนไพร
จำเลยที่ 21 นายชาตรี เขียวทับ
จำเลยที่ 22 นายประวีณ จันทร์คล้าย หรืออดีตกำนันนก
จำเลยที่ 23 นายอาทิตย์ เก้าลิ้ม
ในส่วนคดีฆาตกรรม พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หรือสารวัตรศิว หรือสารวัตรแบงค์ ทางอัยการสำนักงานคดีอาญาได้ยื่นฟ้อง กำนันนก ในความผิดฐานเป็นผู้ใช้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 60 มาตรา 84 มาตรา 288 ส่วนนายหน่อง ท่าผา ผู้ลงมือถูกวิสามัญเสียชีวิต ไปเเล้วจึงจำหน่ายคดี.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี