คุกอ่วมคนละ 30 ปี"อดีต ผอ.-รอง ผอ.รร.สามเสนวิทยาลัย"งาบแป๊ะเจี๊ยะเข้ากระเป๋า ศาลปรานีลดโทษเหลือจำคนละ 18 ปี 24 เดือน ใช้ชำระเงินตกเป็นของแผ่นดิน 7 แสนบาท วืดประกันนอนเรือนจำ ยกฟ้องครูชำนาญการ
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เป็นโจทก์ฟ้อง นายวิโรฒ สำรวล อดีต ผอ.โรงเรียนมัธยมสามเสนวิทยาลัย , นายภูสิทธิ์ ประยูรอนุเทพ จำเลยที่ 2 ในฐานะรอง ผอ.โรงเรียนมัธยมสามเสนวิทยาลัย และนายประเจิน โชติพงศ์กุล จำเลยที่ 3 ในฐานะครูชำนาญการพิเศษ เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ตามลำดับ กรณีร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียนโดยไม่นำเข้าระบบการเงินเพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน และร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไปโดยทุจริต
คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม ว่า ในระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน 2560 นายวิโฒ จำเลยที่ 1 และนายภูสิทธิ์ จำเลยที่ 2 ในฐานะ ผอ.และรอง ผอ.โรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัย และนายประเจิน โชติพงศ์กุล จำเลยที่ 3 ครูชำนาญการพิเศษ ร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 6 ราย โดยไม่นำเข้าระบบการเงินเพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน แล้วร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไป เป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต และยังร่วมกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินเเละบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินซึ่งไม่ตรงต่อความจริงอันเป็นการกระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่ ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 - 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 มาตรา 148 มาตรา 157 และมาตรา 162(1) , (5) ประกอบมาตรา 86 , 90 , 91 ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542ฯ จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 มาตรา 157 และมาตรา 162(1) , (4) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 90 และมาตรา 91 ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 192 และขอให้ริบทรัพย์สินหรือประโยซน์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตกเป็นของแผ่นดิน พวกจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคนั้น โจทก์มีผู้ปกครอง 6 ราย ให้การยืนยันว่า จำเลยที่ 1 , 2 ร่วมกันรับเงินบริจาคที่ประสงค์จะมอบให้โรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัยเพื่อให้บุตรหลานของตนได้รับการพิจารณาให้เข้าศึกษาในโรงเรียน ประเภทเงื่อนไขพิเศษ แต่กลับไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ผู้ปกครองกล่าวอ้างนั้นก็สอดคล้องกับหลักฐานการถอนเงินจากบัญชีธนาคาร และต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 , 2 มาก่อน ที่จำเลยทั้งสอง นำสืบสู้คดีว่า เงินที่ได้รับมานั้นได้นำไปมอบให้คณะกรรมการภาคีเครือข่ายการรับนักเรียนและการระดมทรัพยากรเพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่จำเลยที่ 2 ทำการแต่งตั้งนั้น แต่การจัดตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าว ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวทางในการปฏิบัติการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
อีกทั้ง การรับมอบเงินโดยคณะกรรมการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 และระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดเก็บเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2551 แต่คณะกรรมการดังกล่าวกลับทำผิดระเบียบทั้งหมด เนื่องจากเมื่อรับมอบเงินบริจาคมา ก็ไม่มีการออก ใบเสร็จรับเงินให้และไม่นำเงินบริจาคไปเข้าบัญชีเงินฝากของโรงเรียนในทันที แต่นำเงินไปเก็บไว้ในตู้เซฟที่อยู่ในห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งไมใช่ตู้เซฟของทางราซการ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่รับเงินบริจาคไม่ใช่กรรมการเก็บรักษาเงินและตรวจนับเงินที่โรงเรียนแต่งตั้งขึ้นมา ซึ่งเงินที่เก็บไว้ในตู้เซฟตามระเบียบต้องเก็บไว้ได้ไม่เกินวันละ 3 หมื่นบาท และเก็บไว้ในตู้เซฟได้ไม่เกิน 3 วัน แต่จำเลยกลับเก็บเงินไว้มากกว่า 3 วัน ไม่มีการตรวจนับเงินบริจาคที่ได้รับมาในทันทีเพื่อนำเข้าระบบบัญชีของโรงเรียนเพื่อลงทะเบียนคุมรายรับเงินได้สถานศึกษา และยังเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมากถึงหลักล้าน โดยไม่สามารถตรวจสอบยอดเงินที่แน่นอนได้
ดังนั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าวจึงเป็นการแต่งตั้งที่ไม่ชอบและไม่มีอำนาจในการระดมทรัพยากรเพื่อเก็บรักษาเงินไว้แทนโรงเรียนได้ และยังพบพิรุธว่า ระหว่างที่มีการเก็บเงินบริจาคไว้นั้น ปรากฏว่า มีคลิปวีดีโอที่ตัวแทนผู้ปกครองแอบบันทึกไว้ขณะที่มีการส่งมอบเงินบริจาคให้แก่จำเลยทั้งสอง เผยแพร่ทางสื่อสารมวลชน หลังจากจำเลยที่ 1 แถลงข่าวแล้ว จำเลยทั้งสามจึงรีบตามเจ้าหน้าที่การเงินมาออกใบเสร็จรับเงินย้อนหลังให้และในใบเสร็จไม่มีการระบุชื่อผู้บริจาค ซึ่งไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้แล้วรีบนำเงินบริจาคเข้าระบบบัญชีเงินฝากของโรงเรียน อันเป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของตน และความผิดสำเร็จลงแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจรับฟังได้ ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินอันเป็นเท็จและฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารอันเป็นเท็จและมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการออกใบเสร็จรับเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 ก็ไม่มีหน้าที่โดยตรงและไม่มีหน้าที่โดยทั่วไปเกี่ยวกับการออกใบเสร็จรับเงิน และการข่มขืนใจหรือจูงใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดนั้น
ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสามร่วมกันให้เจ้าหน้าที่การเงินกรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน มิใช่การมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่ได้บังคับข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นการกระทำโดยสมัครใจเอง การกระทำของจำเลยที่ 1 , 2 จึงไม่เป็นความผิดตามข้อหาดังกล่าว และจำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย ขอต่อสู้ของพวจำเลยที่ 1 , 2 จึงไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 , 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 , 2 กระทงละ 5 ปี รวม 6 กระทง เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 , 2 คนละ 30 ปี ทางนำสืบและคำรับของจำเลยทั้งสอง เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้จำเลยที่ 1 , 2 กระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำคุกจำเลยที่ 1 , 2 กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 6 กระทง คงจำคุกจำเลยที่ 1 , 2 คนละ 18 ปี 24 เดือน และให้จำเลยที่ 1 , 2 ร่วมกันชำระเงินหรือแทนกันชำระเงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจ คำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นเงิน 7 เเสนบาท โดยให้ริบเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ภายหลังฟังคำพิพากษาจำเลย 1 , 2 ยื่นคำร้องขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิจารณาแล้วเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว เพื่อมีคำสั่งต่อไป จึงต้องนำตัวจำเลยทั้งสองไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อน เพื่อรอคำสั่งประกันตัวจากศาลอุทธรณ์ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1 - 3 วัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณา จำนวน 7 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 มิถุนายน 2566) ถึงวันอ่านคำพิพากษา เป็นเวลา 10 เดือน 18 วัน
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี