ศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้อง‘ทีมทำคดี’ ถูกแจ้งเอาผิดฐานกลั่นแกล้ง-ออกหมายจับ‘พล.ต.ต.นำเกียรติ’กับพวก ร่วมกับ‘มินนี่’ฟอกเงินเว็บพนัน
8 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลนัดอ่านคำพิพากษาชั้นตรวจคำฟ้องคดีดำ อท 203/66 ที่ พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มนต์ชัย บุญเลิศ , พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ หรือ “รองโอ๋” รอง ผบช.น. , ร.ต.อ.ฤทธิ์ธาดา เครือสุข และพ.ต.อ.ธรรมศักดิ์ สารบุญ เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ
คำฟ้องโจทก์สรุปว่าจำเลยทั้งสี่ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้บังอาจร่วมกันกระทำหรือแบ่งหน้าที่กันทำกระทำความผิดต่อกฎหมายอาญา ด้วยการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและกฎหมายอื่นๆ กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศสำนักงานแห่งชาติ (ศปอส.ตร) ชุดที่ 4 (PCT 4) ได้รับเบาะแสข้อมูลทางลับจากการสืบสวนขยายผลเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร) ชุดที่ 4 (PCT 4) มีจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการได้ทำการสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์เส้นทางการเงินกลุ่มผู้กระทำความผิดและกล่าวหาว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ตำแหน่งผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม บช.น.และเป็นทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ขณะนั้น) ซึ่งช่วงขณะเกิดเหตุ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจทีมงานร่วมกับโจทก์ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องในการร่วมกระทำความผิดกับเว็บไซต์ดังกล่าว ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริง
จำเลยที่ 1 , 2 ได้สร้างหลักฐานการวิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆ โดยไม่มีข้อมูลชัดเจนแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่เรื่องดังกล่าวหากมีพยานหลักฐานเส้นทางการเงินแล้วย่อมไม่สามารถกระทำการบิดเบือนเส้นทางการเงินที่อ้างว่าเป็นธุรกรรมใดๆ ได้ และหากมีข้อสงสัยก็สามารถเรียกโจทก์กับพวกมาสอบสวนได้โดยง่าย ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ย่อมเคร่งครัดปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ย่อมไม่สามารถจะหลีกเสี่ยงหลบหนีได้ แต่จำเลยที่ 1-2 มิได้ดำเนินการใดๆ ที่จะเรียกโจทก์มาให้การชี้แจงหรือหมายเรียกโจทก์มาให้การ กลับทำความเห็นแบบรวบรัด ทำให้โจทก์เชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังประการแรก
หากจำเลยที่ 1-2 มีการสืบสวนเรื่องราวเป็นเวลานานแล้ว แต่เหตุใดจึงถึงมาแจ้งว่าโจทก์เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดในช่วงที่โจทก์เป็นทีมงานของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และเป็นช่วงที่เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้มีคุณสมบัติที่จะได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.
จำเลยที่ 1- 2 อ้างว่าโจทก์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและดำเนินการเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อจำเลยที่ 3 - 4 ที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ แต่กลับไม่ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ในเขตอำนาจสอบสวนของตนซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำที่กระทำไปตามอำเภอใจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
ขณะเดียวกันสำหรับจำเลยที่ 3 -4 ได้รับคำร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 18 กำหนดอำนาจหน้าที่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบไว้แล้ว กล่าวคือ เมื่อจำเลยที่ 1-2 ทำการสืบสวนในเขตพื้นที่ของตนซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงมิใช่พื้นที่อำนาจสอบสวนของจำเลยที่ 3 -4 ที่จะมีอำนาจดำเนินการสืบสวนสอบสวนแต่อย่างใด ดังนั้นจึงต้องถือว่าจำเลยที่ 3 - 4กระทำการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย
ภายหลังจากที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจสอบสวนแล้ว ยังกลับกระทำความผิดอีกกระทง โดย จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอออกหมายจับ น.ส.ธันยนันท์ หรือมินนี่ กับพวก ข้อหา “ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงิน
เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุมได้ยื่นคำร้องขอหมายค้น พบของกลางจำนวนหลายรายการ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและบัญชีธนาคารต่างๆ เกี่ยวกับเว็บไชด์พนันออนไลน์ ซึ่งจำเลยทั้งสี่ทราบดีว่าโจทก์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ของมินนี่กับพวกแต่จำเลยทั้งสี่ได้บังอาจร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยการกล่าวหาว่า พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย เป็นผู้ถือสมุดบัญชีต่างๆ สำหรับโอนเงินพนันออนไลน์ ทั้งที่ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน ตามที่จำเลยที่ 1-2ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้กับจำเลยที่ 3- 4 โดยมิชอบ
พ.ต.อ.ภาคภูมิ เป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หากเห็นว่ามีข้อสงสัยใดสามารถเรียกหรือออกหมายเรียกมาให้ข้อมูลได้แต่จำเลยทั้งสี่กลับร่วมกันกระทำการอันเป็นเท็จโดยมีเจตนาทุจริตเชื่อมโยงธุรกรรมให้เกี่ยวข้องกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ซึ่งทั้งโจทก์และพ.ต.อ.ภาคภูมิฯ เป็นทีมทำงานให้ และในการทำงานของทีมงานจะมีค่าใช้จ่ายในการทำงานในฐานะที่โจทก์ เป็นคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีสำคัญหลายคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกล่าวหาและพยายามเชื่อมโยงว่ามีการโอนเงินให้แก่โจทก์จำนวน 9 ครั้งๆละ 50,000 บาท ร่วมเป็นเงิน 450,000 บาท ไปเข้าบัญชีของโจทก์ซึ่งเป็นบัญชีรับโอนเงินเดือนข้าราชการหรือเงินตอบแทนที่ทางราชการจ่ายให้แก่โจทก์ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยที่โจทก์ไม่เคยรู้จักหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์แต่อย่างใด
นอกจากนี้จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อขอออกหมายจับโจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจอีก 7 นายโดยอ้างว่า โจทก์รับเงินจากพ.ต.อ.ภาคภูมิและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มของมินนี่ และศาลอาณากรุงเทพใต้ได้ออกหมายจับโจทก์ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นาย และบุคคลต่างๆ รวม 23 คน ซึ่งในขณะยื่นคำร้องขอออกหมายจับจำเลยที่ 3 ได้ปกบิดข้อมูลเกี่ยวกับยศ ตำแหน่งและอาชีพของโจทก์ ทั้งๆ ที่จำเลยทั้งสี่ทราบดีว่าโจทก์รับราชการยศ พล.ต.ต.
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา66 ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการออกคำสั่งหรือหมายอาญาฯและคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญาการทำสำนวนการสอบสวนฯ ที่จำเลยทั้งสี่ ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 -3ได้ร่วมกันจัดทำคำร้องขอออกหมายจับอันเป็นเท็จแจ้งต่อศาลว่าโจทก์กับพวกมีพฤติการณ์หลบหนีและจะทำลายหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทั้งๆ ที่โจทก์ไม่ได้มีพฤติการณ์ตามที่กล่าวอ้าง
จำเลยทั้งสี่ย่อมทราบดีว่ายังมีกลุ่มบุคคลที่มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาในคดีนี้เช่นเดียวกันกับโจทก์หลายคน แต่จำเลยทั้งสี่กลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ดำเนินคดีและไม่ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับหรือหมายเรียกบุคคลอื่น จำเลยทั้งสี่จงใจปฏิบัติที่มุ่งเน้นขอให้ศาลออกหมายจับโจทก์และข้าราชการตำรวจที่เป็นกลุ่มเป้าหมายรวม 8 นายที่มีความใกล้ชิดกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เท่านั้น ทั้งที่พยานหลักฐานเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน
ภายหลังจากที่โจทก์ถูกจับกุมตามหมายจับแล้ว โจทก์มียศเป็นพลตำรวจตรีได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพนักงานสอบสวน แต่จำเลยที่ 3,4กลับไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งที่ทราบดีว่าโจทก์เป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่และไม่มีพฤติการณ์ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานหรือมีพฤติการณ์หลบหนี ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสี่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียงและเป็นการเลือกปฏิบัติแตกต่างกับผู้ต้องหาพลเรือนรายอื่นที่ถูกจับและถูกควบคุมตัวในช่วงเวลาเดียวกันที่พวกจำเลยอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพนักงานสอบสวน จะเห็นได้ว่าการดำเนินคดีโจทก์กับพวกคณะพนักงานสอบสวนได้มีการส่งสำนวนการสอบสวนไปยัง ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566
แสดงให้เห็นว่าการดำเนินคดีกับโจทก์และเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 7 นายอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริตฯมาแต่ต้น แต่จำเลยทั้งสี่มีเจตนาที่จะใช้อำนาจศาลเป็นเครื่องมือในการออกหมายจับและหมายค้น โดยโจทก์เชื่อว่าหากยื่นคำร้องขอออกหมายจับและหมายค้นต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางแล้ว ศาลย่อมทราบ ยศ อาชีพ ตำแหน่งของโจทก์ และจะไม่ออกหมายจับและหมายค้นให้อย่างแน่นอน
การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำที่มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก็ให้ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เกียรติภูมิ ถูกดูหมิ่นและถูกเกลียดชังจากสังคมและบุคคลใกล้ชิดตามประมลกฎหมายอาญา มาตรา 147, มาตรา 151 มาตรา 157, มาตรา 158มาตรา 164 และมาตรา 83 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
อย่างไรก็ศาลพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องเพียงพอแก่การวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่เป็นความผิดตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องรับฟ้องโจทก์ไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี