‘รองอธิบดีอัยการฯ’เผยยื่นเดดไลน์ให้ 8 ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ชุดจับกุม-คลุมถุงดำ‘ลุงเปี๊ยก’ส่งแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเป็นลายลักษณ์อักษร 27 พ.ค. หลังตบเท้าเข้ารับทราบข้อกล่าวหา‘พ.ร.บ.อุ้มหายฯ’กับดีเอสไอ พร้อมเตรียมสรุปสำนวนส่งอัยการคดีทุจริต ภาค2 สั่งฟ้องภายใน มิ.ย.นี้
9 พฤษภาคม 2567 ที่อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน , นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะพนักงานอัยการ และ ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง เลขานุการรองอัยการสูงสุด (นายอดิศร ไชยคุปต์) ร่วมกันจัดเตรียมห้องประชุมและเจ้าหน้าที่ชุดสอบสวน 4 ชุด สำหรับการสอบปากคำ และแจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จำนวน 8 นาย
บรรยากาศช่วงเช้าที่ผ่านมาปรากฏว่าผู้ต้องหาทั้ง 8 ราย ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครบทั้งหมดแล้ว โดยเป็นการเดินทางมาก่อนเวลานัดหมาย และทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดนอกเครื่องแบบ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว สีดำ สวมทับกับเสื้อสูท รวมถึงไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าบันทึกภาพภายในห้องประชุม ส่วนสถานที่ที่ใช้ในการสอบปากคำ คือ ห้องประชุม 1 ,2 ,3 ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ในห้องสอบปากคำมีทั้งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ
นอกจากนี้ มีรายงานว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ล้วนขอให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแทนการให้ปากคำในประเด็นสำคัญ โดยขออนุญาตเข้าพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งในวันที่ 27 พ.ค. ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการเริ่มสอบปากคำ 8 ผู้ต้องหา
สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งการให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 9/2567 กรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ นำโดยนายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ ผอ.กองกิจการอำนวยความยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ดำเนินการทางคดีร่วมกับนายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะพนักงานอัยการ
ล่าสุดได้มีการออกหมายเรียก 8 ผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ป้อง กันและปราบปรามการทรมาน และการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
ต่อมาเวลา 11.55 น. นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้ง 8 คนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 6 และมาตรา 7 เนื่องจากจับกุมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย แต่ไม่แจ้งต่ออัยการจังหวัดสระแก้ว และนายอำเภออรัญประเทศตามขั้นตอน ซึ่งยืนยันว่าคณะทำงานมีหลักฐานเพียงพอในการแจ้งข้อหา
ในเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 8 คนให้การปฏิเสธ และจะขอทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรส่งมาในภายหลัง ดังนั้น เมื่อแจ้งข้อหาแล้วพนักงานสอบสวนก็จะปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด เนื่องจากผู้ต้องหาไม่มีพฤติการณ์หลบหนี มีตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง จึงไม่มีเหตุให้ต้องนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง หรือต้องยื่นขอประกันตัว และคณะทำงานได้นัดหมายส่งคำให้การในช่วงเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคมนี้ หากผู้ต้องหาไม่เดินทางมายื่นคำให้การภายในกำหนดเวลา คณะทำงานจะไม่รับคำให้การ เพื่อไม่ให้เกิดการประวิงเวลา และตัวผู้ต้องหาต้องเดินทางมาเอง เพราะต้องมีการสอบปากคำผู้ต้องหาเพื่อยืนยันว่าเป็นคำให้การของตัวผู้ต้องหาเองและนำมาบันทึกลงในสำนวน หลังจากนั้นคณะทำงานก็จะพิจารณาคำชี้แจงและหลักฐานของผู้ต้องหาว่ารับฟังได้หรือไม่ ซึ่งหากรับฟังได้ ก็มีสิทธิ์ที่คณะทำงานจะสั่งไม่ฟ้อง แต่หากหลักฐานที่ชี้แจงมาไม่สามารถหักล้างหลักฐานที่มีอยู่ในสำนวนได้ คณะทำงานก็จะมีความเห็นสั่งฟ้อง และส่งสำนวนให้อธิบดีอัยการ สำนักงานปราบปรามการทุจริตภาค 2 ตามท้องที่เกิดเหตุภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนได้ภายในเดือนมิถุนายน จะไม่ช้าไปกว่านี้
สำหรับพฤติการณ์ของ ผกก.สภ.อรัญประเทศ นายวัชรินทร์ ยืนยันว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดชัดเจนว่าตัว ผกก. อยู่ที่สถานีตำรวจด้วยในวันเกิดเหตุ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดในพฤติการณ์ ส่วนตำรวจบางคนที่ไม่ได้เข้าเวร ไม่ได้อยู่ที่สถานีตำรวจในวันเกิดเหตุ ก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด ยืนยันคณะทำงานพิจารณาด้วยความเป็นธรรม และยึดตามพยานหลักฐานปากคำของ “ลุงเปี๊ยก” ซึ่งเป็นผู้เสียหาย กล้องวงจรปิด พยานหลักฐานของฝั่งตำรวจ และพยานแวดล้อมต่างๆ ก่อนจะเลือกแจ้งข้อหากับตำรวจนายใด หรือไม่แจ้งข้อหากับตำรวจนายใด แม้ว่าอาจจะไปยืนอยู่ในจุดบางจุดของสถานการณ์วันเกิดเหตุก็ตาม
นายวัชรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนผู้บังคับบัญชา หากจะเข้าข่ายความผิดได้ ตัวผู้บังคับบัญชาต้องรู้อยู่แล้วว่ามีการกระทำการทรมานเกิดขึ้น มีการอุ้มหายเกิดขึ้น แล้วไม่ระงับเหตุ หรือผู้บังคับบัญชาไม่ดำเนินคดีเมื่อรู้ว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่คณะทำงานพิจารณาแล้ว สรุปว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้บังคับบัญชาในตำรวจภูธรภาค 2 เพราะมีการดำเนินคดีในภายหลังแล้ว จึงไม่เข้าข่ายความผิด
ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่าคณะทำงานมีมติแจ้งข้อกล่าวหา 9 คน แต่ในวันนี้เหลือแจ้งข้อหาเพียง 8 คนนั้น นายวัชรินทร์ กล่าวว่า หนึ่งคนที่สุดท้ายแล้วคณะทำงานตัดสินใจไม่แจ้งข้อหา คือ พนักงานสอบสวน เนื่องจากเจ้าตัวมีพยานหลักฐานมายืนยันภายหลัง และรับฟังได้ว่าไม่ได้ร่วมกระทำความผิด เพราะการกระทำความผิดเกิดขึ้นตั้งแต่มีการควบคุมตัว ลุงเปี๊ยก ไปจนถึงห้องสืบสวน สภ.อรัญประเทศ แต่เมื่อส่งตัวลุงเปี๊ยกให้พนักงานสอบสวนนั้น การกระทำความผิดเกี่ยวกับการทรมานและการอุ้มหายได้จบลงแล้ว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี