2 ปี ผู้ว่าฯ ชัชชาติ รายงาน ปชช. “เปลี่ยน ปรับ”ยกระดับเมืองน่าอยู่ เน้นประสิทธิภาพ โปร่งใส ดันทางเท้าใหม่ แก้น้ำท่วมลดไวปรับใหญ่การศึกษา-บริการสุขภาพ เพิ่มพื้นที่สาธารณะ/ให้คะแนน 5 เต็ม 10 ลุยต่ออีก 2 ปีชวนจับมือเปลี่ยนเมือง เพิ่มความสุขคน กทม.
วันที่ 28 พ.ค. 2567 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นำทีมรองผู้ว่าฯกทม. รายงานประชาชน ครบรอบ 2 ปีการทำงาน ภายใต้ชื่องาน “2 ปี ทำงาน “เปลี่ยน ปรับ” ยกระดับเมืองน่าอยู่” พร้อมแสดงวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ณ ห้องอเนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน นายชัชชาติกล่าวว่า เดิมกรุงเทพฯ เป็นเมืองเที่ยวสนุก แต่ประสิทธิภาพต่ำซึ่งทำให้คนเหนื่อยกับการใช้ชีวิตและการเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ได้ทำตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จึงมีการเปลี่ยนแปลงและปรับหลายด้าน เพื่อให้การทำงานและการแก้ไขปัญหามีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้คนเหนื่อยน้อยลง และมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากขึ้น เรื่องแรกปรับ Traffy Fondue ลดขั้นตอน เพิ่มโปร่งใส ตอบโจทย์ คือหนึ่งตัวอย่างที่ได้ทำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาของประชาชน 2 ปี ได้แก้ไขเสร็จสิ้นแล้ว 465,291 เรื่อง จากที่มีการร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 588,842 เรื่อง คิดเป็น78% เฉลี่ยระยะเวลาที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาลดลง 97% จากเดิมใช้เวลา 2 เดือน เหลือเพียง2 วัน เชื่อว่าสิ่งที่สะท้อนผ่านการร้องเรียนใน Traffy Fondue คือความเชื่อมั่นระหว่าง กทม.กับประชาชน ดังนั้น กทม.จึงมุ่งมั่นในการแก้ไขทุกๆ ปัญหาที่ประชาชนแจ้งเข้ามาอย่างเต็มที่
เรื่องที่ 2 ปรับทางเท้ามาตรฐานใหม่ คงทน คุ้มค่า คิดถึงทุกคน กทม. มุ่งมั่นทำทางเท้าให้เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกเพศทุกวัย โดยยึดมาตรฐานทางเท้าที่แข็งแรง คงทน และสวยงาม 2 ปี ได้ปรับปรุงไป 785 กม.เรื่องที่ 3 จัดระเบียบหาบเร่-แผงลอยให้ประชาชนเข้าถึงอาหารราคาถูกได้โดยไม่เบียดเบียนทางเดินเท้า ทำไปแล้ว 257 จุด พร้อมจัดระเบียบสายสื่อสารรกรุงรัง รวมระยะทาง 627 กม. รวมทั้งเปลี่ยนหลอดไฟฟ้าแสงสว่างเป็นหลอด LED เชื่อมระบบ IOT ตรวจสอบหลอดไฟดวงเสียได้อัตโนมัติและแก้ไขได้รวดเร็ว ให้คนกรุงเทพฯ เดินเท้ากลับบ้านอย่างสบายใจ
เรื่องที่ 4 น้ำลดไว สัญจรทันใจ เศรษฐกิจไม่ติดขัด ปัญหาฝนตก น้ำไม่ระบาย เดินทางลำบาก ซึ่งอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มายาวนาน นับตั้งแต่มีถอดบทเรียนและรวบรวมข้อมูลจุดน้ำท่วมทั่วกรุงเทพฯ ในปี 2565 พบจุดสำคัญที่ต้องแก้ไข 737 จุด ขณะนี้แก้ไขแล้ว 370 จุด และจะแก้ไขได้ทันในปี’67 อีก 190 จุด และเตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วมก่อนที่จะเกิดฝน ล้างท่อระบายน้ำไปแล้ว 4,200 กม. ทำความสะอาดคลองเปิดทางน้ำไหล 1,960 กม. ขุดลอดคลอง 217 กม. บำรุงรักษาประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำล้างอุโมงค์ระบายน้ำทุกแห่ง และตรวจสอบเครื่องสูบน้ำทุกเครื่องให้พร้อมใช้งาน
เรื่องที่ 5 เพิ่มพื้นที่สาธารณะ ให้เมืองมีชีวิต เมืองที่ดี คือ เมืองที่มีพื้นที่สาธารณะ จะช่วยลดต้นทุนในการใช้ชีวิตให้กับประชาชน ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเพื่อจะเข้าถึงบริการต่างๆ กทม. ได้พัฒนาสวนสาธารณะ 58 แห่ง ศูนย์นันทนาการ 36 แห่ง ห้องสมุด 34 แห่ง พิพิธภัณฑ์เด็ก 2 แห่ง ศูนย์กีฬา 12 แห่ง ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงศูนย์กีฬาแบบใหม่ครบวงจร แล้ว 11 แห่ง เตรียมขยายผลอีก 13 แห่ง โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนในการทำศูนย์กีฬาแบบใหม่มีกิจกรรมหลากหลายและประเภทกีฬาใหม่ๆอาทิ พิกเคิลบอล เทกบอล ปิงปอง บาสเกตบอล โดยที่สวนเบญจกิติเป็นต้นแบบขยายศูนย์กีฬาไปยังสวนอื่นทั่วกรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ส่วนการเพิ่มพื้นที่แห่งความสร้างสรรค์ กำลังมีการปรับปรุงอาคารลุมพินีสถานสู่ Performance Art Hub ของคนกรุงเทพฯ ซึ่งกำหนดจะแล้วเสร็จในปี’68 และการเพิ่มสวนขนาดใหญ่ให้เป็นปอดฟอกอากาศ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของคนกรุงเทพฯ เช่นโครงการเชื่อมบึงหนองบอน-สวนหลวง ร.๙ สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ และ สวนกีฬาทางน้ำแห่งใหม่ที่บ่อฝรั่ง (ริมบึงบางซื่อ)และสวนป่าชุ่มน้ำบางกอก (เสรีไทย) ส่วนสวน 15 นาที สวนขนาดเล็กใกล้ชิดชุมชนระยะเดินไม่เกิน 15 นาที ล่าสุดเกิดขึ้นแล้วกว่า 100 แห่งคาดว่าจะครบ 500 แห่ง ภายใน 4 ปี
เรื่องที่ 6 ปรับบริการสุขภาพ ปูพรมตรวจรักษาโรค สร้างพื้นฐานคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อลดข้อจำกัดการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนกรุงเทพฯ มีโครงการตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน ขยายการบริการของศูนย์บริการสาธารณสุข รับตรวจรักษานอกเวลาจนถึง 2 ทุ่มหรือเสาร์-อาทิตย์ ทุกพื้นที่ อีกทั้งยังขยายศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพ (กายภาพบำบัด)แก้ออฟฟิศซินโดรม ที่ศูนย์ฯ ใกล้บ้าน 8 แห่ง เปิด Pride Clinic คัดกรอง-ปรึกษาฟรี สำหรับผู้มีความหลากหลายทางเพศ จากเดิมมี 6 แห่ง เพิ่มเป็น 31 แห่ง มีผู้ใช้บริการเกือบ 20,000 ราย
เรื่องที่ 7 โปร่งใสด้วยเทคโนโลยี คุ้มค่าเงินภาษี ตลอด 2 ปี ดำเนินการป้องกันและต่อต้านการทุจริตอย่างเข้มข้น มีการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งสิ้น 781 เรื่อง มีมูลทุจริต 56 เรื่องถึงขั้นสอบสวนทางวินัย 44 เรื่อง ให้ออกจากราชการ 29 ราย อยู่ระหว่างพิจารณา 12 เรื่อง ส่งต่อให้ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. 5 เรื่อง ในด้านการให้บริการขออนุญาตต่างๆ มีความสะดวกยิ่งขึ้นด้วย BMA One Stop Service (https://bmaoss.bangkok.go.th) รวมศูนย์การขอใบอนุญาตไว้บนออนไลน์ ประชาชนสามารถติดตามทุกคำขออนุญาตทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้จาก Line OA กรุงเทพมหานคร (@bangkokofficial) รวมถึงมีการเปิดฐานข้อมูล (Open Data) ด้านนโยบาย งบประมาณ สัญญาจ้าง ภาษี ไปแล้วมากกว่า 1,000 ชุดข้อมูล มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 ล้านครั้ง/ปี ด้านการเปิดระบบจัดซื้อจัดจ้าง ได้มุ่งให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่การประกวดราคาจนถึงการบริหารสัญญา และการบริหารเงินให้มีประสิทธิภาพ ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ได้พยายามแก้ไขปัญหาโครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า BTS ที่มีมาต่อเนื่อง ได้ลุล่วงไปในก้าวแรก โดยสามารถชำระหนี้งานระบบของส่วนต่อขยาย 23,000 ล้านบาท และโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของ กทม. เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคือการลดการผูกขาด โดยเสนอรัฐบาลให้ยกเลิกคำสั่งม.44 นำระบบรถไฟฟ้ากลับสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและร่วมทุนตามกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนต่อไป
“2 ปี ที่ผ่านมาเป็นช่วงของการทำงานที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของกทม. ผ่านนโยบายและโครงการต่างๆ มากมาย ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของเมือง ใน 6 มิติ 1.ประชาชนชนเป็นศูนย์กลาง คือ TraffyFondue 2.กระจายอำนาจสู่ประชาชน งบประมาณชุมชน 2 แสน 3.ทำงานอย่างโปร่งใส Open Bangkok, Open Data, Open 4.ใช้เทคโนโลยีและข้อมูล บริการ BMA OSS, GPS รถขยะระบบมอนิเตอร์ไฟฟ้าแสงสว่าง 5.สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชน รับฟังเสียงจากคนรุ่นใหม่ สภาเมืองคนรุ่นใหม่ สภาเด็กและเยาวชน ผังเมืองใหม่ และ 6.เดินหน้าแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย ยกระดับการศึกษา สาธารณสุข แก้หนี้ BTS ปัญหาหาบเร่-แผงลอย และเตรียมเสนอร่าง พ.ร.บ.กทม.ใหม่ เพื่อนำไปสู่การยกระดับการบริหารราชการ กทม.รูปแบบใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่อยู่ต่อไปแม้เราจะไม่อยู่บริหารแล้ว จะเกิดประโยชน์กับประชาชน” นายชัชชาติกล่าว
นายชัชชาติกล่าวถึงการทำงานอีก 2 ปีว่า 2 ปีต่อไป มุ่งบูรณาการข้ามหน่วยงาน สร้างกรุงเทพฯเมืองน่าอยู่แห่งอนาคต โดยมุ่งมั่นจะขับเคลื่อนกรุงเทพมหานครเป็นเมืองน่าอยู่ โดยทำงานประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน “ตั้งแต่ประกาศนโยบายและทำงานมา 2 ปีทำได้ 90% ยังมีเรื่องที่ทำไม่ดี ยังมีปัญหาที่ต้องทำต่ออีกมาก ถ้าให้คะแนนการทำงาน ให้ 5 เต็ม 10 ส่วนคนกรุงเทพฯจะพอใจ หรือวัดว่ามีความสุขเพิ่มขึ้นเท่าไร ต้องให้ประชาชนบอก”
ด้านนายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในช่วง 2 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้กรุงเทพฯ มีอากาศสะอาด นอกเหนือจากดำเนินการตามมาตรการลดฝุ่นที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จากนี้จะมีการเปลี่ยนรถบริการของ กทม. ไม่ว่าจะเป็น รถเก็บขยะ รถบรรทุกน้ำ รถสุขาเคลื่อนที่รถบรรทุก 6 ล้อ จากรถที่ใช้พลังงานดีเซลมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าแทน ทั้งนี้จากการคำนวณรถขยะขนาด 5 ตัน สามารถลดค่าเช่าลงเหลือ 2,240 บาท/คัน/วัน จาก 2,800 บาท/คัน/วัน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 200 ตัน/ปีจาก 2,256 ตัน/ปี ลดการปล่อย PM2.5 เหลือเป็นศูนย์ จาก 22 กก./ปี และลดต้นทุนพลังงานเหลือ 455 บาท/เที่ยว จาก 1,300 บาท/เที่ยว โดยมีแผนรับมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในปี 67 จำนวน 615 คัน ปี 68 จำนวน 392 คัน และปี 69 อีก 657 คัน นอกจากนี้ยังเร่งรัดการก่อสร้างโรงเผาเพื่อผลิตไฟฟ้าอ่อนนุช-หนองแขม เพื่อลดการฝังกลบ และลดต้นทุนการจัดการขยะ โดยคาดว่าจะเปิดในปี 2569 ซึ่งจะประหยัดเงินค่าจัดการขยะได้ 172,462,500 บาท/ปี
นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวถึงการปรับทางเท้า ว่า 2 ปี จากนี้คนกรุงเทพฯ จะเดินทางสะดวกขึ้น ด้วยบริการป้ายรถเมล์ดิจิทัล 500 ป้าย การปรับปรุงศาลารถเมล์ 300 หลัง และการติดตั้งจอดิจิทัลในศาลาที่พักผู้โดยสารอีก 200 หลัง เพิ่มตัวเลือกการเดินทาง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อ (Last Mile) ด้วยการเดินทางที่หลากหลาย เช่น รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เรือไฟฟ้า จักรยาน ShuttleBus และการเดินเท้าที่สะดวกปลอดภัยมีหลังคาคลุม ด้านการจราจรจะคล่องตัวขึ้น โดยการอัพเกรดสัญญาณไฟจราจรทั่วกรุงเทพฯ ให้เป็น Adaptive Signaling ปรับสัญญาณไฟให้สอดคล้องกับปริมาณจราจร 541 ทางแยก พร้อมทั้งมอนิเตอร์เมือง สังเกตและสั่งการผ่าน Command Center ทั้งในเรื่องการติดตั้ง CCTV ไฟส่องสว่าง เซ็นเซอร์วัดระดับน้ำท่วมขังบนถนน โดยส่งข้อมูลมาที่ Open Digital Platform ส่วนการขอใบอนุญาตการก่อสร้างออนไลน์ครอบคลุมอาคารทุกประเภท และสามารถติดตามสถานะโครงการผ่านออนไลน์ได้
รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า 2 ปีหลังนี้ จะผลักดันโรงพยาบาลเดิม3 แห่ง โดยเพิ่มเตียงรพ.กลาง อีก 150 เตียง รพ.บางนา เพิ่ม 324 เตียง รพ.คลองสามวา เพิ่ม 268 เตียง และเพิ่มโรงพยาบาลใหม่ในสังกัด กทม. อีก 4 แห่ง รพ.พระมงคลเทพมุนี ขนาด 150 เตียง เปิดแล้ว จะเปิด รพ.ดอนเมือง ขนาด 200 เตียง รพ.สายไหม ขนาด 120 เตียงและ รพ.ทุ่งครุ ขนาด 60 เตียง เพื่อขยายเตียงดูแลคนกรุงเทพฯ ให้ได้ครอบคลุมยิ่งขึ้น อีก 1,272 เตียง และยังพัฒนาศูนย์บริการสาธารณสุขให้เข้าถึงง่าย กระจายทั่วกรุงเทพฯ เตรียมปรับปรุงสถานีดับเพลิง 13 แห่ง และสร้างใหม่อีก 3 แห่ง พร้อมทั้งยกะดับCommand Center เพิ่มประสิทธิภาพการติดตั้งGPS ให้รถพยาบาล 80 คัน และรถดับเพลิง 250 คัน ติดตามสถานการณ์ผ่าน IOT กล้อง DVR และ Body Cam เพิ่มประสิทธิภาพการตัดสินใจและสั่งการแบบเรียลไทม์ผ่านระบบข้อมูลทรัพยากรและห้อง War Room
นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า การพัฒนาคน คือการพัฒนาเมือง จะยกระดับจากการศึกษา สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) โดยการศึกษาปฐมวัยเป็นการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน จาก 83,264 คน เพิ่มเป็น 100,000 คน ปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเริ่มรับเด็กเร็วขึ้นที่อายุ 1 ขวบครึ่ง เพิ่มชั้นอนุบาลสำหรับเด็ก 3 ขวบ แผนขยายให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในปี’69 ส่วนการศึกษาภาคบังคับ พัฒนาห้องเรียนดิจิทัล สร้าง Active Learning สำหรับเด็ก ป.4-ม.3 ทุกโรงเรียน ทุกห้องเรียนมีคอมพิวเตอร์ ต่อยอดจากที่ได้มีการนำร่องห้องเรียน Chromebook
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี