นายกฯยอมรับที่ประชุม ก.ตร.ถก ปม”บิ๊กโจ๊ก”ด้าน รรท.ผบ.ตร.ยันไม่เพลี่ยงพล้ำเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการ มีการพิจารณาตามขั้นตอนที่จะนำไปสู่มาตรา 140 คือการทูลเกล้าฯ ต้องรอผลสอบจากคณะกรรมการชุดสืบสวน และก.พ.ค.ตร. ระบุสถานะ"พล.ต.อ.สุรเชษฐ์"ยังเป็นรองผบ.ตร.แต่หยุดปฏิบัติหน้าที่จากคำสั่งให้ออกราชการ
30 พ.ค.67 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ( ก.ตร.) ครั้งที่ 4/2567 และการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ หรือ (ก.ต.ช.) ครั้งที่ 1/2567 โดยประชุมต่อเนื่องถึง 2 คณะด้วยกัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยยอมรับว่าในที่ประชุม ก.ตร.วันนี้ มีการพิจารณาความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่รายละเอียดระบุว่า ให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์เพ็ชร์ รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รรท.ผบ.ตร.) เป็นผู้ชี้แจง
ผู้สื่อข่าว ได้สอบถามเพิ่มเติมถึงสถานะปัจจุปันของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รวมถึงจะมีการส่งไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความซ้ำหรือไม่ นายเศรษฐา ยืนยันคำเดิมว่าให้รักษาราชการแทนฯ เป็นผู้ชี้แจง จากนั้นได้ให้สื่อมวลชนสอบถามในประเด็นอื่น
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ระหว่างการพิจารณาประเด็นที่กฤษฎีกาตีความเรื่องการออกจากราชการไว้ก่อนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตนไม่ได้นั่งอยู่ในที่ประชุมด้วย ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องคำร้อง แต่ตนต้องออกจากห้องประชุม เนื่องจากอยู่ในสภาพที่อาจจะมีการพิจารณาที่ไม่เป็นกลางได้ เพราะตนเป็นผู้ออกคำสั่งออกจากราชการ เมื่อเป็นผู้ออกคำสั่งหากชี้แจงอะไรข้อกฎหมายเกรงว่าอาจจะเข้าข้างตัวเอง เพราะกฎหมายหมายถึงตนอาจเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสีย
“ส่วนคำสั่งออกจากราชการที่ผ่านมา ตนไม่ได้พูดว่ามั่นใจในตัวคำสั่ง เพราะเป็นการพิจารณาตามที่ฝ่ายอำนวยการได้เสนอตามข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย ยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินตามขั้นตอนกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2565 จากนี้จึงเป็นเรื่องระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กับ สำนักนายกรัฐมนตรี ในทางกฎหมายเป็นกระบวนการขั้นตอนที่ดำเนินการตามมาตรา 140 ส่วนจะสมบูรณ์หรือไม่ตนเองไม่สามารถให้คำนิยามคำนี้ได้"พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าว
พร้อมระบุว่า ตามมาตรา 120 ต้องรอผลการพิจารณาจากคณะกรรมการชุดสืบสวน และจากคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) รวมทั้งจะมีการพิจารณาตามมาตรา 131 เรื่องบทลงโทษ ยืนยันว่า มีการพิจารณาตามขั้นตอนที่จะนำไปสู่มาตรา 140 คือการทูลเกล้าฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่กฤษฎีกาฯ ตีความประเด็นออกจากราชการกลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นการเพลี่ยงพล้ำหรือไม่ รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ไม่เพลี่ยงพล้ำ สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินตามขั้นตอนของกฎหมาย ตามมาตรา 140 ส่วนสถานะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายการที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน กระบวนการต่างๆพิจารณาตามกฎหมาย ถ้าถามว่าสถานะเป็นอย่างไร คำตอบคืออยู่ในกระบวนการปฏิบัติที่ดำเนินการอยู่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่หยุดปฏิบัติหน้าที่เนื่องจากคำสั่งออกจากราชการ
เมื่อถามย้ำว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ สามารถเข้าร่วมประชุม ก.ตร.ได้หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ท่านน่าจะพิจารณาเองได้ พร้อมกล่าวยืนยันในตอนท้ายว่าไม่หนักใจในการทำหน้าที่ โดยเฉพาะการลงนามคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่ให้จนถึงที่สุดให้ดี จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทั้งนี้ มีรายงานว่าที่ประชุมได้หยิบยกประเด็นที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร้องขอความเป็นธรรมต่อก.ตร.ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บริหารงานบุคคลไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด มีการออกคำสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่เป็นธรรม ขึ้นมาหารือในที่ประชุม โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ซึ่งเรื่องดังกล่าวก่อนหน้านี้ก.ตร.ได้มอบหมายให้คณะ อนุฯ ก.ตร.วินัยไปพิจารณา ต่อมาพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้มีการส่งข้อมูลเพิ่มเติม ที่ประชุมจึงให้มีการรวมเรื่องพิจารณา โดยยังไม่มีข้อสรุป
ทั้งนี้ ระหว่างที่มีการหารือเรื่องดังกล่าว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ได้เดินออกจากห้องประชุม เพราะมองว่ามีส่วนได้เสียกับเรื่องนี้ เพราะเป็นผู้ออกคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี