ศาลสั่งจำคุก125ปี
อดีตรองสารวัตร
สน.วังทองหลาง
อมเงินหลวง7แสน
ศาลอาญาคดีทุจริตฯสั่งจำคุกอ่วม 125 ปี อดีตรองสารวัตรธุรการหญิง สน.วังทองหลัง อมเงินประกันตัวผู้ต้องหากว่า 7 แสนให้การเป็นประโยชน์ลดโทษเหลือจำคุก 50 ปี ตามกฎหมายคืนเงินอีก 2.7 แสนบาทให้ สตช.
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถ.เลียบทางรถไฟ ย่านตลิ่งชัน ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตเบียดบังทรัพย์หมายเลขดำอท.112/2566 หมายเลขแดงที่ อท 99/2567 ที่ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องกับร.ต.อ.หญิงจิรัฏฐ์อร หรือจิรัฏฐ์อร ภาคทรัพย์ อายุ 47 ปี อดีตรองสารวัตรธุรการ สน.วังทองหลาง เป็นจำเลยในความผิดฐานเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147
คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า จำเลยขณะดำรงตำแหน่งรองสารวัตรธุรการ (รองสว.ธุรการ) สน.วังทองหลาง ได้รับการแต่งตั้งคณะกรรมการเก็บรักษาเงิน รับเงินประกันตัว ผู้ต้องหาจำนวน 25 กรรมแล้วแต่ไม่ได้นำเงินเข้าฝากธนาคารเป็นเงินรวม 720,000 บาท ต่อมา มีการตรวจสอบระบบการเงินพบว่าเงินสูญหายระหว่างที่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลยและจำเลยยินยอมนำเงินคืน 450,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้ว่า แม้เป็นการผิดระเบียบแต่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ เมื่อพนักงานสอบสวนนําเงินประกันตัวผู้ต้องหามาส่งมอบให้จำเลย จำเลยมีหน้าที่นําเงินฝากเข้าบัญชี หรือให้เจ้าหน้าที่การเงินอื่นฝากแทนได้ โดยในวันที่ได้รับเงินนั้น กรณีที่ไม่สามารถฝากทันภายในวันนั้น ให้รวบรวมเงินเก็บรักษาไว้ในตู้นิรภัยที่สถานีตำรวจนั้นก่อน แล้วนำฝากในวันที่ธนาคารเปิดทำการวันแรกตามระเบียบกระทรวงการคลังโดยต้องนําใบรับฝากเงินที่ธนาคารออกให้มาลงบัญชีคุมการนําฝากเพียงผู้เดียว และต้องทำการสรุปยอดรายวันซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของจำเลย แล้วเสนอผู้กํากับการเพื่อตรวจสอบลงลายมือชื่อรับรอง และนํามาเก็บไว้ที่ห้องการเงิน แต่ปรากฏว่าไม่มีการนําฝากเข้าบัญชีธนาคาร มีพยานพบเห็นธนบัตรปึกเงินประมาณ 200,000 บาท ที่จำเลยเก็บไว้ในตู้เหล็กที่ห้องทำงานเป็นเวลานาน เมื่อตรวจสอบพบโดยสำนักตรวจสอบภายในและสำนักตรวจเงินแผ่นดินพบว่า เงินขาดหายและนำเข้าไม่ตรงวันและตรงจำนวน จำเลยจึงนำเงินเข้าบัญชีในภายหลัง
การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง หรือของผู้อื่นโดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต พิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมตามความผิด รวม 25 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปีรวมจำคุก 125 ปี ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณาบ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 38 เหลือจำคุกกระทงละ 3 ปี4 เดือน คงจำคุกรวม 75 ปี 100 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกจำเลยทั้งสิ้นไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยรวม 50 ปี ตามกฎหมาย พร้อมให้จำเลยชดใช้คืนเงินค่าเสียหายแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นเงิน 270,000 บาทด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี