จำคุก3อดีตสส.ภท.
9ด.ไม่รอลงอาญา
เสียบบัตรแทนกัน
ส่งตัวนอนคุกทันที
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลฎีกา พิพากษายืนจำคุก3 อดีต สส.ภูมิใจไทย คนละ9 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานเสียบบัตรแทนกันวันประชุมพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายปี2563 ศาลระบุเป็นเรื่องร้ายแรงไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ป้องปรามไม่ให้มีการกระทำผิดซ้ำ ประโยชน์ส่วนรวมเสียหาย กระทบต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก่อนส่งตัวนอนเรือนจำ
เมื่อเวลา10.30น.วันที่ 11มิถุนายน2567องค์คณะผู้พิพากษาวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลฎีกา สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.อธ.6/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.3/2567 ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง นายฉลอง เทอดวีระพงศ์ ,นายภูมิศิษฎ์ คงมีและนางนาที รัชกิจประการ ทั้งหมดเป็นอดีต สส.พรรคภูมิใจไทย ร่วมกันเป็นจำเลยที่1-3ตามลำดับ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบกรณีที่พวกจำเลยเสียบบัตรแทนกัน ระหว่างการประชุมสภาพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งสามดำรงตำแหน่ง สส.พรรคภูมิใจไทยเมื่อระหว่างวันที่ 8 ถึงวันที่ 11 มกราคม 2563 มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2563 จำเลยทั้งสามลงชื่อเข้าร่วมประชุม แต่จำเลยที่ 1 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่10 ม.ค.-11ม.ค.2563 เวลา 19.30น.ถึงเวลา 17.38น.จำเลยที่2 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วง วันที่ 10-11มกราคม2563 เวลา 19.30น.-11.00น.และจำเลยที่3 ไม่อยู่ในที่ประชุมช่วงวันที่ 11มกราคม2563 เวลา 14.28น -15.46น.ต่อเนื่องกัน โดยจำเลยทั้งสามต่าง ได้ร่วมกับบุคคลใดไม่ปรากฏชัด โดยให้ผู้อื่นหรือยินยอมให้ผู้อื่นหรือกระทำการหรือไม่กระทำการอื่นใด เป็นผลให้ผู้อื่น ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยทั้งสามแสดงตนและลงมติในการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2563แทนจำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้น การปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ กระบวนการใช้อำนาจ นิติบัญญัติในการตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชนผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพรป.ประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา172 จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำคุกจำเลยทั้งสามคน ละ 1 ปี องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก เห็นว่า ทางไต่สวนของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่ บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยคนละ4เดือน ทั้งนี้ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำโดยทุจริตถือเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ ให้จำเลยที่ 1-2พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นวันหยุดปฏิบัติหน้าที่ และให้เพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของจำเลยทั้งสามตลอดไป โดยไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตลอดไป และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองใด ๆ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา81 วรรคหนึ่งและวรรคสอง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาขอให้พิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตามระหว่างการพิจารณาขององค์คณะวินิจฉัย
อุทธรณ์ จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอสละประเด็นข้อต่อสู้ตามอุทธรณ์ทุกข้อและขอให้การรับสารภาพในชั้นอุทธรณ์ กับขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุก
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ วินิจฉัยในข้อที่จำเลยทั้งสามขอให้ลงโทษสถานเบานั้นองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า ความผิดฐานเจ้าพนักงาน ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๖๑ มาตรา172 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่1-10ปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองวางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 ปี ก่อนลดโทษให้นั้น เป็นการลงโทษในอัตราขั้นต่ำสุดตามที่ กฎหมายกำหนดไว้ และยังลดโทษให้อีกหนึ่งในสี่นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสามมากแล้ว ไม่มีเหตุที่องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข
ส่วนที่จำเลยทั้งสามขอให้รอการลงโทษนั้นองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสามดำรงตำแหน่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเสนอและพิจารณาร่างพรป.ประกอบรัฐธรรมนูญ ร่าง พรบ.ต่างๆ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป เป็นต้น โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความ ครอบงำใด ๆ ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ และต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 114, 115 ซึ่งอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเสนอและพิจารณาร่างพรป.รัฐธรรมนูญหรือร่างพ.ร.บ.ต่าง ๆ สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 120 วรรค สาม การออกเสียงลงคะแนนจะกระทำแทนกันมิได้ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 80 วรรคสาม การกำหนดให้การออกเสียงลงคะแนนกระทำโดยวิธีใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ประจำตัวในการแสดงตนและลงมติ เป็นวิธีการหนึ่งในการป้องกันมิให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตกอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ใด และ ช่วยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นสามารถใช้ดุลพินิจในขณะออกเสียงลงคะแนนได้อย่างมีอิสระ
ดังนั้นการมอบบัตร อิเล็กทรอนิกส์ประจำตัวให้บุคคลอื่นนำไปใช้ออกเสียงลงคะแนนซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นอกจากจะเป็นการทำลายความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น แล้ว ยังเป็นการทำลายกลไกคุ้มครองความเป็นอิสระทำให้การแสดงเจตจำนงแทนประชาชนถูกควบคุมหรือบิดเบือน โดยบุคคลซึ่งหวังประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่เป็นไปตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ถือเป็นกฎหมายสำคัญที่จะให้รัฐบาลนำเงินของ แผ่นดินไปใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน หากร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่ผ่านความเห็นชอบ หรือเกิดความล่าช้าจากสภาผู้แทนราษฎรย่อมส่งผลกระทบถึงการบริหารราชการแผ่นดินและเศรษฐกิจของประเทศ
พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทยเป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ทำให้ประโยชน์ส่วนรวมได้รับความเสียหาย ไม่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และคำปฏิญาณที่ให้ไว้ และไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย การไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสามก็เพื่อให้จำเลยทั้งสามหลาบจำ เป็นการป้องปรามไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นถือเป็นเรื่องร้ายแรงกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างกระทำความผิดเช่นนี้อีก แม้ต่อมาจำเลยทั้งสามรู้สำนึกในการกระทำความผิดโดยให้การรับสารภาพและไม่ เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ทั้งได้กระทำคุณความดีต่อสังคมตามที่จำเลยทั้งสามอ้าง ก็ยังไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการ ลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสาม อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้จำเลยทั้งสามเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัด ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวนายฉลอง และนายภูมิศิษฎ์ ไปคุมขังทึ่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน นางนาที ซึ่งเป็นภรรยา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ถูกนำตัวไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี