"นพ.พรหมินทร์" ควง "หอการค้าไทย" ขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เคาะแผนกาญจนบุรีโมเดล 1 ใน 10 จังหวัดเป้าหมาย จากเมืองรองสู่เมืองหลัก
เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.67นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายญนน์ โภคทรัพย์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และผู้บริหารหอการค้าไทย เดินทางมาติดตาม “โครงการขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” ตามที่ ดร.ธีรชัย ชุติมันต์ รักษาการประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี นำเสนอแผนฯ การประชุมจัดขึ้นที่ห้องประชุมแควใหญ่ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี
โดยมี ร้อยโท ทศพล ไชยโกมินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช นายรณภพ เวียงสิมมา ว่าที่ร้อยตรี ศุภมงคล บูชาถ่ายเทศ นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี นายฑรัท เหลืองสอาด ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี นายพนม โพธิ์แก้ว สส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เขต 5 รวมทั้งหัวหน้าส่วนราชการ และคณะกรรมการหอการค้าในจังหวัดกาญจนบุรี เข้าร่วมฯ
ทั้งนี้ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีความ เห็นชอบตามข้อเสนอของหอการค้าไทย จึ้งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่นำร่อง 10 จังหวัด ซึ่งประกอบไปด้วย จ.นครพนม, ศรีสะเกษ, แพร่, ลำปาง ,นครสวรรค์, ราชบุรี, จันทบุรี, ตรัง, นครศรีธรรมราช, และ จ.กาญจนบุรี โดยได้ขับเคลื่อนไประยะหนึ่งแล้ว
สำหรับการเดินทางมาในครั้งนี้นั้นเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นจังหวัดที่ 2 เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ติดขัด และหาโอกาสในการเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ โดยต้นทุนการพัฒนาที่สำคัญคือการแก้ไขปัญหาเรื่องของการเร่งรัดสิทธิถือครองที่ดิน ด้านการท่องเที่ยว พร้อมชูศักยภาพ 4 ภูมิ ที่สำคัญ ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ภูมิทัศน์ ภูมิประวัติศาสตร์ และภูมิธรรม ด้วยการเน้นการสร้างสรรค์กิจกรรมและกีฬาทางน้ำ ด้านแรงงานและเกษตร ให้ต่อยอดไปสู่เมืองอุตสาหกรรม ซึ่งผู้ประกอบการในพื้นที่เองมีความสามารถที่จะช่วยต่อยอดสินค้าภาคเกษตรให้กลายเป็นสินค้าแปรรูปที่มีมูลค่าสูงขึ้น เช่น ผลไม้แห้ง ที่ยังมีความต้องการมาก โดยเฉพาะประเทศทางตะวันออกกลาง
สำหรับพื้นฐานของจังหวัดกาญจนบุรี นั้นมีศักยภาพในเรื่องการบริหารจัดการแหล่งน้ำให้เป็นพื้นที่ในการจัดเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ จึงเป็นพื้นที่ที่สามารถดึงดูดการลงทุนได้ในอนาคต เนื่องจากจะมีการเปิดใช้ถนนสายมอเตอร์เวย์ เส้น M81 อย่างเต็มรูปแบบขึ้นในปี 2568 การเดินทางจากกรุงเทพฯ มาที่กาญจนบุรี ใช้เวลาแค่ประมาณ 45 นาที เชื่อว่าการดึงภาคเอกชน ประชาชน และศักยภาพของคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ เข้ามามีส่วนร่วมและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนแผนงานต่าง ๆ จะทำให้ความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน และภาครัฐเป็นหนึ่งบวกหนึ่งที่ได้ผลมากกว่าสอง อีกทั้งจะช่วยกระจายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำได้เป็นอย่างดี
ด้านนายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับ“โครงการขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” ตามที่ ดร.ธีรชัย ชุติมันต์ รักษาการประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี นำเสนอแผนการฯ เป็นอย่างยิ่ง
จึงสั่งการให้ทั้ง 10 จังหวัดนำร่อง วางแผนการขับเคลื่อนฯ ในการพิจารณาศักยภาพของจังหวัดในทุกมิติให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ และหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งกระทรวงมหาดไทย พร้อมให้การสนับสนุนและขับเคลื่อนการดําเนินงานของคณะกรรมการฯ ผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนจังหวัด (กรอ.จังหวัด) เพื่อให้เกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ ให้บรรลุวัตถุประสงค์การขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเจริญมาสู่พื้นที่ต่อไป
สำหรับแผนขับเคลื่อนการยกระดับเมืองและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืนในพื้นที่ 10 จังหวัด นำร่องนั้นได้เริ่มดำเนินการเปิดตัวไปแล้ว 2 จังหวัด ซึ่งหลังจากนี้คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะกำหนดลงพื้นที่ 8 จังหวัดนำร่องที่เหลือ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ แพร่ ลำปาง นครสวรรค์ ราชบุรี จันทบุรี และตรัง โดยตั้งเป้ายกระดับเมืองนำร่องให้สำเร็จภายใน 3 ปี
ส่วนนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ก่อนอื่นหอการค้าไทย ต้องขอชื่นชมท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ตัดสินใจยกระดับ 10 จังหวัดนำร่อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของประชาชนในแต่ละพื้นที่ ถือเป็นโมเดลที่ดีที่จะขยายผลไปในแต่ละจังหวัด เชื่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงการทำงานทุกฝ่ายเข้าร่วมกันได้ โดยเฉพาะการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงประชาชน ซึ่งภาคเอกชนเองก็พร้อมเข้ามาเป็นเจ้าภาพในการลงทุนใน 10 จังหวัดที่เราเลือก รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาถ่ายทอดและยกระดับทักษะของคนในจังหวัด
สำหรับการลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีครั้งนี้ นับเป็นจังหวัดนำร่องที่ 2 ภายหลังจากที่ได้มีการลงพื้นที่จังหวัดนครพนม (นครพนมโมเดล) ภายใต้แผนการยกระดับเมือง 10 จังหวัด ที่จำเป็นต้องเร่งสร้างการเติบโตจากภายในประเทศด้วยการกระจายความเจริญและยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกัน รัฐบาลและภาคเอกชนมีเป้าหมายร่วมกันที่จะผลักดัน GDP ไทย ปีนี้โต 3% โดยเน้นส่งเสริมการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยว ตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยเพิ่มเติมอีก 1 ล้านคน จากเดิม 35.7 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน ซึ่งจะช่วยเพิ่ม GDP Growth ได้อีกประมาณ 0.12% ซึ่งวันนี้เราได้เห็นถึงโอกาสที่จะยกระดับศักยภาพในภาคการท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรี ไปสู่ Trade & Travel ระดับนานาชาติ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของท่านนายกฯในการผลักดันให้ไทยกลายเป็น Tourism Hub เชื่อมโยงกับภูมิภาค
ด้าน นายญนน์ โภคทรัพย์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า แนวทางการยกระดับจังหวัด ผ่าน 3 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ 1) Unlock Potential ทั้งการสร้าง Landmark (Tourism, Cultural, and Food) ส่งเสริมเอกลักษณ์ อัตลักษณ์วัฒนธรรมไทยที่ดี (Thainess) เชื่อมโยงโครงการ One Family One Soft Power (OFOS) การสร้างและยกระดับระบบคมนาคมพร้อมเชื่อมจังหวัดใกล้เคียง และเร่งการส่งเสริมการลงทุน และ Incentive ในพื้นที่
2) การสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดี ทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค (น้ำประปา ไฟฟ้า Speed Internet) ระบบสาธารณสุขและเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ทันสมัยทั่วถึง การสร้างเมืองรองเป็นโมเดลต้นแบบเมือง Net Zero รวมถึง ระบบจัดการขยะให้ครบวงจรด้วยระบบ (Reduce, Reuse, Recycle)
และ 3) การช่วยเหลือเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ด้วยการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยให้ทั่วถึง เพิ่มรายได้ให้ SMEs (ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มมูลค่าของสินค้า) มีมาตรการส่งเสริมให้คนเก่ง (Talent) ที่เป็นคนไทยกลับสู่ภูมิลำเนาและแรงงานศักยภาพสูงชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในพื้นที่ และการส่งเสริมการจ้างงานเฉพาะ ทั้งคนพิการ และกลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่ ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูง หากสามารถขับเคลื่อนภายใต้ 3 แกนหลักดังกล่าวจะเกิดการพัฒนาและยกระดับเมืองให้เกิดการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และสร้างรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นในอนาคตต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในที่ประชุม นายวุฒิพงษ์ สุภัควนิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี และ ดร.ธีรชัย ชุติมันต์ รักษาการประธานหอการค้าจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร่วมกันนำเสนอศักยภาพและเป้าหมายของจังหวัด สู่การเป็น “History and Harmony in Nature เมืองหลักแห่งประวัติศาสตร์และสันติภาพโลก” โดยตั้งเป้าหมายผลักดันผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) +15% ภายใน 5 ปี ผ่านการเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว จาก 30,401 ล้านบาท เป็น 40,400 ล้านบาทต่อปี หรือ เพิ่มขึ้นปีละ 1 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยว จำนวน 14.4 ล้านคน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 15.8 ล้านคนต่อปี และเพิ่มสัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติ จาก 317,221 คน เป็น 380,666 คน รวมถึงส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับประชาชนท้องถิ่นผ่าน การเพิ่มอัตราการจ้างงาน การพัฒนาต่อยอดโครงสร้างพื้นฐานให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ด้วยแนวทาง Unlock Potential จำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย
1) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ และก่อสร้างอาคารแสดงนิทรรศการบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว 2) โครงการก่อสร้างหอสันติภาพ บริเวณแหลมถั่วงอก/เกาะรัตนกาญจน์ 3) โครงการศรีสวัสดิ์โมเดล ประตูท่องเที่ยวแห่งภาคตะวันตก และ 4) โครงการก่อสร้างสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวได้มีการประชุมร่วมกับภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย ทั้ง 7 ภาคี ในการยกระดับจังหวัดกาญจนบุรีทั้งในมิติระดับจังหวัด มิติระดับภูมิภาค และมิติระดับประเทศ ให้ไปสู่ระดับโลกต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี