เลขา ป.ป.ส. แจงขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายนักค้ายา “น.ส.เขมิกา" และพวก”ยึดเพิ่มอีก 2,022 ล้านบาท เตรียมแจกเงินรางวัลผู้แจ้ง 101 ล้านบาท ส่วนคนทำสำนวนได้รับ 60 ล้าน ขณะที่“เสี่ยชูวิทย์”รอคดี"ตู้ห่าว"ถึงที่สุดเมื่อใด รับเงินรางวัล5%ไปเลย
วันที่ 20 มิ.ย.67 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือป.ป.ส.(ดินแดง) กทม. พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิ การ ป.ป.ส. พร้อมด้วยนายไพศาล กันทะเตียน ผอ.สำนักตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด และนายมานะ ศิริพิทยาวัฒน์ ร่วมกันแถลงผลการยึดทรัพย์เครือข่าย น.ส.เขมิกา ใจปินตา นักค้ายาเสพติดรายสำคัญ และพวก อีกจำนวนกว่า 2,000 ล้านบาท
โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ ได้แถลง ผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินครั้งที่ 12/2567 ซึ่งมีนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน พร้อมด้วยคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งในวาระที่ 4 ที่ประชุมได้มีการพิจารณาคดีตรวจสอบทรัพย์สินจำนวน 81 คดี มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 2,185,071,784.93 บาท โดย 78 คดี เป็นการตรวจสอบทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งในขั้นตอนต่อไปจะส่งสำนวนคดีไปยังพนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลพิจารณาต่อไป
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า สำหรับการอายัดทรัพย์ในครั้งนี้มี 3 คดี ซึ่งเป็นเครือข่ายรายสำคัญ เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 ก.พ.64 เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ได้จับกุมนายธีนพันธ์ คำผาบูรณปัญญา และพวกรวม 3 ราย พร้อมของกลางยาเสพติด เฮโรอีน จำนวน 1,000 แท่ง น้ำหนัก 35 กิโลกรัม ที่บริเวณด่านควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 บ้านนาหวายใหม่ อ.บ้านหลวง จ.น่าน และนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านหลวง จ.น่าน ดำเนินคดี และจากการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานพบกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวมีผู้ร่วมกระทำความผิดแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนี้ 1.กลุ่มเจ้าของยาเสพติด 2.กลุ่มผู้ประสานงานระหว่างเจ้าของยาเสพติดและกลุ่มเครือข่าย 3.กลุ่มลำเลียงยาเสพติด 4.กลุ่มนายทุนและกลุ่มฟอก 5.กลุ่มกรรมการบริษัทหรือผู้ถือหุ้น จนนำไปสู่การตรวจยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด พบความผิดปกติของกลุ่มนายทุนและกลุ่มฟอกเงินที่มียอดเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2564 พบมีมากกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้จากการประกอบอาชีพ หรือการประกอบธุรกิจในนามบริษัทของกลุ่มผู้ต้องหาที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เพื่ออำพรางว่ามีการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นการฟอกเงินที่ได้จากยาเสพติด อีกทั้งยังมีการนำเอาบัญชีของแรงงานชาวเมียนมา ลูกจ้างชาวเมียนมาของบริษัทมาใช้ทำธุรกรรมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพยานหลักฐานจึงเชื่อได้ว่าทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายเป็นทรัพย์สินที่มีอยู่ หรือได้มาเกินกว่าฐานะ หรือความสามารถในการประกอบอาชีพอื่นใดโดยสุจริต และเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินมีคำวินิจฉัยและมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่ายนี้ จำนวน 3 คดี อันประกอบด้วย คดีที่ 1.น.ส.เขมิกา และพวกอีก 3 ราย ทรัพย์สิน 45 รายการ มูลค่า 9,378,823.95 บาท คดีที่ 2.นางตง เฉิน (อยู่ระหว่างหลบหนี) และพวกอีก 1 ราย ทรัพย์สิน 24 รายการ มูลค่า 527,815,332.18 บาท และคดีที่ 3.น.ส.ณัฐพัชร์ หรือนางผิง เฉิน (อยู่ระหว่างหลบหนี) และพวกอีก 3 ราย ทรัพย์สิน 809 รายการ มูลค่า 1,485,438,514.51 บาท
“ทั้งนี้ รวมทั้งหมด 878 รายการ แบ่งเป็น เงินสด 29,744,233.07 บาท เงินฝาก 1,193,445,452.02 บาท อสังหาริมทรัพย์ 191,378,073 บาท และอื่นๆ อาทิ ทองรูปพรรณ เครื่องประดับ ยานพาหนะ มูลค่า 608,064,912.55 บาท รวมมูลค่าทั้งหมด 2,022,632,670.64 บาท” เลขา ป.ป.ส. ระบุ
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวอีกว่า การดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินในกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว เป็นการดำเนินการตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 และตามประมวลกฎหมายยาเสพติด กรณีถ้ามีผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินสินบน 5% ขณะที่คนที่ทำคดีตั้งแต่ต้น ผู้จับกุม จนถึงผู้ที่เกี่ยวข้องจะได้ส่วนแบ่งเงินรางวัล 25% ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่จะดำเนินคดีได้เร็วขึ้น จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด ด้วยการชี้เบาะแสเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลุ่มเครือข่าย หรือนักค้ายาเสพติดมายัง สำนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งหลังจากคดีสิ้นสุด เมื่อทรัพย์สินตกเป็นของกองทุนป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดแล้ว ผู้แจ้งเบาะแสจะได้รับเงินรางวัล 5%
ส่วนในกรณีของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ซึ่งเคยแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับรายการทรัพย์สินของเครือข่ายนายตู้ห่าวนั้น พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวว่า หากคดีถึงที่สุด นายชูวิทย์ ก็จะได้รับส่วนเเบ่ง 5% แต่ตนไม่ทราบความคืบหน้าว่าคดีเครือข่ายนายตู้ห่าว ปัจจุบันนี้สำนวนคดีอยู่ในชั้นพนักงานอัยการ หรือชั้นศาล แต่อย่างไรก็ตาม คดีอาญาก็ต้องแยกออกไปจากการตรวจสอบทรัพย์สินในคดียาเสพติด เพราะเรื่องนี้จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินก่อน ซึ่งขณะนี้สำนวนคดีการตรวจสอบทรัพย์สินของนายตู้ห่าว ยังไม่ได้เข้ามาสู่ชั้นคณะกรรมการฯ ป.ป.ส. แต่อย่างใด
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวปิดท้ายว่า ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับนโยบายและได้เร่งรัดในเรื่องของคดีที่สำคัญต่าง ๆ ภาพการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหายาเสพติด หากไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน คงไม่สามารถขยายผลอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญได้ อีกทั้งในเรื่องการช่วยแจ้งเบาะแส จะทำให้เงินที่เข้าไปยังกองทุนฯ ส่วนหนึ่ง 5% จะจัดสรรให้กับผู้แจ้งเบาะแส เช่น กรณีคดีเครือข่าย น.ส.เขมิกา และพวก อายัดทรัพย์สินได้กว่า 2,020 ล้านบาท ถ้าจัดสรรให้แก่ผู้แจ้งเบาะแส ก็จะได้รับ 101 ล้านบาท แต่ถ้าไม่มีผู้แจ้งเบาะแส จะทำให้ผู้ทำคดี หรือสืบสวนสอบสวน จะได้รับการจัดสรร 3% หรือ 60 ล้านบาท ทั้งนี้ การจ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลเป็นไปตามระเบียบคณะอนุกรรมการกองทุน ป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ว่าด้วยการจัดการทรัพย์สินของกองทุน พ.ศ. 2566
รานงานข่าวแจ้งว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 3 ก.พ.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. ได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลาง ไอซ์ 100 กก. และยาบ้า 381 เม็ด ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ต่อมา สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 สามารถขยายผลจับกุม น.ส.เขมมิกา (สงวนนามสกุล) พร้อมยึดทรัพย์ 34.9 ล้านบาท จากนั้นได้ขยายผลไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมการเงินของเครือข่าย 5 ราย ในประเทศ และกลุ่มผู้ลักลอบขนเฮโรอีนไปยังประเทศมาเลเซีย อีก 5 ราย ซึ่งอายัดทรัพย์สินรวม 37 ล้านบาท รวมแล้วทั้งเครือข่ายยึดได้กว่า 1,066 ล้านบาทแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี