‘บิกโจ๊ก’ฟ้องกราวรูด
‘บิ๊กต่าย-2นายพล’เขี่ยพ้นสตช.
จี้รีบคืนคำสั่งกลับเข้ารับราชการ
“บิ๊กโจ๊ก”เอาคืน! บุกร้อง ป.ป.ช. เอาผิด“บิ๊กต่าย-2นายพล”สั่งให้ออกราชการโดยมิชอบ เตือนนายกฯเศรษฐาให้รีบคืนตำแหน่งเข้ารับราชการโดนเร็วไม่งั้นโดนคดีด้วย ด้าน“บิ๊กต่าย” ลั่นทำถูกต้อง ย้ำเกิดมาทุกคนต้องตาย พร้อมรับผลทุกอย่าง
เมื่อเวลา 12.05 น. วันที่ 24 มิถุนายน 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ยื่นฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี และ พล.ต.ต.อภิสัณห์ หว้าจีน ผู้บังคับการกองวินัย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีลงนามคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่เป็นธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนต้องเรียกร้องความยุติธรรม เพราะบุคคลเหล่านี้ได้กระทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ในมาตรา 120 วรรค 4 ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่ 2 ที่มีมติ 10:0 ว่าการให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน ต้องมีความเห็นจากคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง หากการให้ออกราชการไปกระทบสิทธิ์ผู้นั้น แต่รักษาการณ์ ผบ.ตร.กลับใช้อำนาจผิด และผิดพลาด ซึ่งมาจากความเร่งรีบ เพราะมีเจตนาพิเศษให้ตนเองออกจากราชการ เพราะฉะนั้นผู้เซ็นคำสั่งต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ ซึ่งหากจะเล่นงานตนจริง ๆ ก็ต้องกลับไปแก้ไขให้ถูกต้อง คือต้องเพิกถอนคำสั่งที่มิชอบ หากจะต้องการเล่นงานตนเองต่อก็ต้องทำให้ถูก
ส่วนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ชี้แจงว่าไม่รู้ว่าไส้ใน หรือข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ต้องรู้ เพราะในหนังสือที่นายกรัฐมนตรีได้ส่งตัวตนเองกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง จึงต้องส่งตนเองกลับ และจากนั้นก็มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน
ทั้งนี้ หาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยอมมาขอโทษ หรือมาพูดคุยกัน ตนก็ยอมรับ แต่ต้องมีการพูดคุยกัน เพราะตนต้องการให้องค์กรตำรวจสงบ
ในขณะที่คดีทางอาญาของตนเอง และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์นั้น ขณะนี้อยู่ที่ ป.ป.ช.หมดแล้ว ก็ต้องปล่อยเป็นไปตามกระบวนการตรวจสอบ ยืนยันว่า หากได้กลับไปสำนักงานตำรวจ จะไม่มีการล่าหัว ล้างแค้นใคร แต่จะกลับไปทำงาน ซึ่งเป็นสิทธิ์ของตน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า ต้องใช้อำนาจในการดำเนินการ เพราะเคยมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2482 ว่า หน่วยงานราชการใดที่หารือคณะกรรมการกฤษฎีกา หน่วยงานนั้นต้องไปปฏิบัติตาม ซึ่งปัจจุบันยังใช้อยู่ เพราะฉะนั้นหากนายกรัฐมนตรียังละเลย หรือเพิกเฉยอยู่ ตนก็จะใช้สิทธิ์ในการฟ้องร้องเช่นกัน ยืนยันว่าไม่ได้ขู่ แต่ทำจริงมาตลอด ซึ่งการเป็นผู้บังคับบัญชาต้องมาแก้ปัญหา อย่าทำตัวลอยตัวไม่ได้ ต้องกล้าตัดสินใจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ส่งเรื่องกราบบังคมทูลเกล้า ให้ตนออกจากราชการก่อน กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว ทำให้สื่อถึงว่าคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย โดยตนไม่กลัวว่านายกรัฐมนตรีจะโกรธหรือไม่ เพราะตนพูดในหลักการของกฎหมาย และฟ้องในตำแหน่งและในวันที่ 24 มิถุนายนนี้ ตนจะยื่นหนังสือถึงพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ให้ดำเนินการตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอผลการสอบสวนของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร.ด้วย แต่หากคณะกรรมการดังกล่าว วินิจฉัยยืนตามคำสั่งเดิมของรักษาการณ์ ผบ.ตร.ตนก็จะไปร้องศาลปกครองต่อ เชื่อว่าเรื่องนี้จะใช้เวลาไม่นาน เพราะเป็นเรื่องข้อกฎหมาย พร้อมกับย้ำว่า ขณะนี้ตนเองยังเป็นแคนดิเดตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เตรียมยื่นเรื่องฟ้องศาลฯ ในข้อหาฐานหมิ่นประมาทกับ ก.ตร. 1 คน และอดีตตำรวจ 2 คน เพราะอยากจะสอนมวยพวกกูรูที่รู้เยอะ ภายในสัปดาห์นี้
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินทางไปยังศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ครั้งแรก คดีหมายเลขดำ อ.558/2567 ที่ได้ฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ซึ่งศาลได้สั่งเลื่อนคดีออกไปก่อนเนื่องจากทนายจำเลยติดว่าความที่ศาลอื่น
ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ให้สัมภาษณ์ว่า จะดำเนินการฟ้องร้องให้ถึงที่สุด ในกรณีที่ถูกฟ้องร้องในคดีเว็บพนันมินนี่ โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เผยว่า ตนเป็นเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานในคดี ทำทุกอย่างตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ และสบายใจที่ได้ทำงาน ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งใคร ส่วนใครจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับตนก็เป็นสิทธิของเขา เราทำงานเพื่อประชาชน ไม่ได้ทำงานให้ผู้ที่กระทำการทุจริตและมีประพฤติที่ไม่ดี ทุกวันนี้ทำงานเพื่อองค์กร
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวอีกว่า ตอนนี้ไม่มีความกังวลที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะกลับมาดำรงตำแหน่ง เพราะเราทำหน้าที่ดีที่สุด และมีหลายเรื่องต้องดำเนินคดีกับกลุ่มคนนี้
ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร.รับมอบหมายจากผบ.ตร.เข้าประชุมผู้นำเหล่าทัพที่กองทัพอากาศ และให้สัมภาษณ์กรณีถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตามฟ้องร้องกรณีใช้อำนาจดำรงตแหน่งรักษาการผบ.ตร.เซ็นให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการว่า ก็ถือเป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งขณะนี้ตนปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. แล้ว แต่ในกระบวนการพิจารณาเป็นเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมแล้ว จากนี้ก็รอผลการพิจารณา
เมื่อถามย้ำว่าในช่วงที่เป็นรักษาราชการแทน ผบ.ตร. เชื่อว่าคำสั่งที่เซ็นออกไปถูกต้อง ครบถ้วนแล้วใช่หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า “ครับ ถือเป็นช่วงจังหวะที่ผมมารักษาการ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาเป็นช่วงที่ผมอยู่ในจุดนั้นพอดี เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ดุลพินิจพิจารณาจากข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมาย ประกอบระเบียบ คำสั่ง กฎ ก.ตร. ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบแล้ว ผมจึงบอกว่าขอให้ดูข้อเท็จจริง อย่ามุมมองเพียงแค่ว่าอันนี้ผิดหรือไม่ผิด และเป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่จะบอกว่าท่านไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ต้องพิจารณาจากข้อมูลหลักฐาน ซึ่งจะพิจารณาได้ว่าคำสั่งนี้ถูกต้องหรือไม่ อยู่ที่องค์กรอิสระและคณะกรรมการต่างๆที่เกี่ยวข้อง”
และเมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล กลับมาเป็น ผบ.ตร. ก็ไม่ได้ปรากฏเรื่องที่ต้องขัดแย้ง ถึงแม้ว่าจะมี รอง ผบ.ตร. ท่านใดกลับมาอีก ก็เป็นเรื่องที่ต้องให้เกิดความชัดเจนในเรื่องของการกล่าวหา และหลักฐานต่างๆให้เคลียร์ ใครกลับมา ผมก็พร้อมจะทำงาน เป็น รองผบ.ตร. ในหน้าที่ที่รับมอบหมาย ส่วนใครจะฟ้องร้องก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ก็เป็นสิทธิ์แก้ต่างไป
เมื่อถามว่าที่ระบุทำตามหน้าที่ในช่วงรักษาการ แต่ขณะนี้ท่านกำลังจะโดนเช็คบิล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนไม่ได้เคยคิดว่าถูกเช็คบิล เพราะ ด้ถือปฏิบัติอยู่บนความสุจริตเป็นที่ตั้ง และตนทำเพื่อองค์กร ซึ่งต้องดูเรื่องกฎหมาย ข้อเท็จจริง ระเบียบคำสั่ง มาประกอบแล้ว ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นกับตนก็พร้อมรับ
เมื่อถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าจะได้เป็น ผบ. ตร. คนต่อไป พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ หัวเราะ พร้อมระบุว่า “อย่าใช้คำว่ามั่นใจ แม้แต่คิดยังไม่เคย และไม่มีสัญญาใจอะไร และไม่เคยคิดเรื่องนี้ คิดอย่างเดียวว่าได้รับหน้าที่อะไรก็ทำอย่างนั้น”
เมื่อถามว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเหมือนท่านตายเดี่ยวในรอบนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ หัวเราะ พร้อมทั้งระบุว่า “ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครหลุดพ้นความตาย เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อความตายมาเยือน เราต้องพร้อมที่จะรับความตาย แต่เราอยู่ในพื้นฐานความสุจริตใจ และความโปร่งใส ผมปฏิบัติตามหลักนิติธรรมเพื่อองค์กร ดังนั้นก็พร้อมที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
เมื่อถามว่าในวันที่ 26 มิ.ย.67 ที่จะมีการประชุม ก.ตร. โดยมีนายกฯ เป็นประธาน กังวลอะไรหรือไม่ เพราะจะมีการนำประเด็นดังกล่าวมาพูดคุยด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ตนทราบว่ามีประชุม ก.ตร. และก็ทราบวาระการประชุมแล้ว แต่ขออนุญาตไม่พูดถึง เพราะเป็นเรื่องของการประชุม ส่วนที่ประชุมจะอภิปรายหรือมีความเห็นอย่างไรก็สุดแท้แต่ ก.ตร. แต่ละท่านจะพิจารณา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี