นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รองเลขาธิการ กพฐ.) นำทีม สพฐ. ลงพื้นที่แก้ไขปัญหาหนี้สินของครูและบุคลากรฯ โดยนำนโยบายสู่การปฏิบัติระดับพื้นที่ร่วมกับสถานีแก้หนี้ครู สพฐ. ภาคเหนือ โดยมีดร.กิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อย และผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกาญจนบุรี ร่วมพบปะหารือแนวทางการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาภาคเหนือที่ลงทะเบียนเข้ารับการแก้ไขหนี้สินกับ สพฐ. ณ โรงเรียนนารีรัตน์ จ.แพร่
นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ภาคเหนือครั้งนี้ได้เห็นความเดือดร้อนและความต้องการของบุคลากรเราในพื้นที่หลายเรื่องที่ต้องการได้รับการแก้ไข เช่น การถูกฟ้องร้องบังคับคดี การเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินร้อยละ 6 ของธนาคารพาณิชย์ การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การรวมหนี้สิน การปรับโครงสร้างหนี้ การเจรจาต่อรองลดดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่ออเนกประสงค์สำหรับผู้รับบำนาญ บำเหน็จรายเดือน และผู้รับบำเหน็จพิเศษรายเดือน เป็นต้น โดยเรื่องไหนที่นอกเหนืออำนาจ สพฐ. ต้องใช้หน่วยงานภายนอกเข้ามาช่วยตามอำนาจหน้าที่โดยเร็ว ซึ่ง ดร.กิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย ในนามคณะกรรมการกำกับการแก้ไขหนี้สินของประชาชนรายย่อยของรัฐบาล จะร่วมนำประเด็นดังกล่าวไปหารือแนวทางแก้ไขทั้งในระดับรัฐบาล และการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป
รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีครูและบุคลากรทางการศึกษาลงทะเบียนสมัครใจเข้าร่วมโครงการแก้ปัญหาหนี้ 7,820 คน ในระบบแก้หนี้ออนไลน์ สพฐ. และมี สพท. ที่สามารถแก้ไขปัญหาสำเร็จอย่างน้อย 1 รายแล้ว 131 แห่ง ซึ่งประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่ม 1 คือ กลุ่มที่ถูกฟ้องดำเนินคดี สพท. สามารถไกล่เกลี่ยเพื่อชะลอการฟ้องร้องก่อนการดำเนินคดีหรือไกล่เกลี่ยระหว่างการพิจารณาคดีหรือไกล่เกลี่ยชะลอการฟ้องล้มละลายหรือประสานงานช่วยเหลือในชั้นบังคับคดีหรือไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับครูและผู้ค้ำประกัน และกลุ่ม 2 คือ กลุ่มสีแดงที่ไม่ถูกฟ้อง สพท. สามารถทำให้มีสภาพทางการเงินดีขึ้นหรือมีเงินเดือนเหลือมากกว่าร้อยละ 30 รวมทั้งสิ้น 740 คน คิดเป็นมูลหนี้กว่า 2,220 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2567)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี