‘บิ๊กโจ๊ก’ไม่ถอย
ฟ้อง‘เศรษฐา’พ่วง12ก.ตร.
ปมรับรองให้ออกราชการ
นายกฯเผย ก.ตร.ยังไม่นำคำสั่งให้“บิ๊กโจ๊ก”ออกจากราชการฯขึ้นทูลเกล้าฯ ชี้รอมติ ก.พ.ค.ตร.เคาะคาด 30 วันรู้ผลสอบ ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย “บิ๊กโจ๊ก”ลุยต่อ เตรียมยื่นฟ้องนายกฯ-12 ก.ตร.สัปดาห์หน้า หลังชี้คำสั่งให้ออกจากราชการถูกต้อง
เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่จ.น่าน เพื่อรับฟังปัญหาเรื่องยาเสพติดและให้กำลังใจแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ และศึกษาต้นแบบการบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ กรณีที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติ 12ต่อ0 เห็นชอบคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร ให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการไว้ก่อน กังวลหรือไม่ว่าจะถูกพล.ต อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องเอาผิดตามมาตรา157 ว่า กังวลทุกเรื่อง สื่อถามทุกวันและอย่างที่เคยบอกไป เราปฏิบัติยึดตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นไตร่ตรองดีแล้ว และจะให้ความเป็นธรรมกับพล.ต อ.สุรเชษฐ์ ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามขั้นตอนต้องรอคณะกรรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) สรุปผล ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯให้ออกจากราชการไว้ก่อน ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตรงนี้เป็นอย่างหนึ่งที่เราให้ความเป็นธรรมกับ พล.ต อ.สุรเชษฐ์ เพราะในขณะที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ไปยื่นร้องกับ ก.พ.ค.ตร.และประมาณ 30 วัน ก็น่าจะตัดสินได้ ถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมีการพูดคุยกันระหว่างคณะกรรมการก.ตร แล้ว ว่าเรื่องการทูลเกล้าฯคงพักไปก่อน รอให้ก.พ.ค.ตร.มีมติที่ชัดเจนแล้วค่อยมาว่ากัน
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร ให้สัมภาษณ์ ตอบโต้มติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่เห็นชอบคำสั่งให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ชอบด้วยกฎหมายนั้น ว่า ไม่ผิดความคาดหมาย เพราะตนเองเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รู้วิธีการทำงานของตำรวจ และเลขานุการ ก.ตร. ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นมติ 12 ต่อ 0 ดังนั้นมติอาจเป็นเพียงการรับทราบเท่านั้น และให้รอผลวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ก.พ.ค.ตร. ก็ได้ อีกทั้งคณะอนุกรรมการวินัย ก.ตร. ก็ล้วนแต่เป็นตำรวจ อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีใครกล้าลงมติว่าผู้บังคับบัญชาผิด
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ระบุว่าคณะอนุกรรมการวินัย ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจว่าถูกหรือผิด มีอำนาจแค่พิจารณาว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจสั่งการหรือไม่เท่านั้น ส่วนที่อ้างว่าก่อนหน้านี้มีอนุกรรมการร้องทุกข์ที่สามารถพิจารณาเรื่องคุณและโทษของตำรวจได้นั้น ปัจจุบันได้ถูกยุบไปแล้ว และมี ก.พ.ค.ตร. เข้ามาแทบที่ให้ความเป็นธรรมกับเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจ ซึ่งเทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น ดังนั้นหลังจากนี้หากผลวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ออกมาเป็นโทษกับตนเอง ตนเองก็จะนำผลไปร้องศาลปกครองสูงสุดต่อไป
ส่วนมติ ก.ตร.ที่ออกมาจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของ ก.พ.ค.ตร.หรือไม่นั้น ตนเองมองว่าไม่ได้กดดัน เพราะทุกอย่างต้องพิจารณาตามกฎหมายและพ.ร.บ.ตำรวจ ส่วนที่มีคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตนเอง อีกฝ่ายก็ได้สละสิทธิไปแล้ว ทำให้ตอนนี้เหลือคณะกรรมการแค่ 6 คนในการพิจารณา จึงไม่มีอะไรหน้าหนักใจ และตนเองก็ยังเชื่อมั่นใน ก.พ.ค.ตร. ว่าจะให้ความเป็นธรรม
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้มีหนังสือถึงตนเอง บอกว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่กลับไม่นำความกราบบังคมทูลฯ และโยนให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ก่อนส่งเรื่องกลับไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์ แต่ต่อมา กลับมานั่งเป็นประธานการประชุม ก.ตร. เมื่อวานนี้ และยังรับรองมติอนุกรรมการวินัยที่เห็นชอบว่าคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่มีการทักท้วง ดังนั้นถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว เพราะหากคำสั่งเห็นชอบด้วยกฎหมายจริง เหตุใดก่อนหน้านี้นายเศรษฐาจึงไม่นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ด้วยเหตุนี้ตนเองจึงเตรียมฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ก.ตร. ทั้งคณะ รวม 12 คน ในช่วงสัปดาห์หน้า
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่าจะให้ความเป็นธรรมกับตนเอง โดยให้รอผล ก.พ.ค.ตร.ใน 30วันนั้น ไม่ใช่ว่าตนเองไม่เชื่อ แต่มองว่าเป็นเพียงวาทกรรม เพราะในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ และความผิดของนายกรัฐมนตรีถือว่าสำเร็จแล้วอยู่ดี ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ควรฟ้องนายกรัฐมนตรีนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มองว่า ตนเองก็ยังนับถือนายวิษณุอยู่ แต่ตนเองก็ต้องรักษาสิทธิของตนเองเพื่อความชอบธรรม และยืนยันไม่ได้ต้องทะเลาะกับใคร รวมกรณีที่พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมาติงตนเองนั้น ตนเองไม่ว่า หากพล.ต.อ.วินัยต้องการจะแฉ ก็แฉเลย แต่ต้องพูดให้หมด และเข้าใจให้ตรงประเด็นว่าตนเองฟ้องอีกฝ่ายในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนอีกฝ่ายจะตรวจสอบข้อเท็จจริงพบอะไรก็ว่าไป แต่ไม่มีสิทธิ์วินิจฉัยคดี เพราะไม่ใช่ศาล
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ต้องการทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา แต่ขอถามกลับว่าทำไมตนเองถึงถูกรังแกมาทั้งชีวิต เพราะว่าตนเองมีอายุราชการเหลือหลายปี เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 และทำงานตรงใจประชาชนหรือไม่ ถ้าอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี ก็คงไม่เป็นปัญหา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี