“ในสมัยที่ยังเป็นเด็ก เรารู้สึกว่าบ้านใครมีเครื่องซักผ้าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด แต่มีอยู่ยุคหนึ่งเราเอามอเตอร์ไฟฟ้ามาใส่กับเครื่องกล เสียบปลั๊กปุ๊บเครื่องปั่นมันทำงานได้แต่เครื่องซักผ้ายุคแรกๆ มี 2 ถัง ถังหนึ่งเป็นถังเปียก ถังหนึ่งเป็นถังแห้ง แล้วเราต้องย้ายผ้าที่ซักแล้วไปใส่ถังปั่น แล้วก็กลับไปซักน้ำเปล่าอีกรอบหนึ่ง ตอนนั้นเครื่องซักผ้าเป็นเครื่องจักรกล ทำงานเองไม่ได้ ไม่มีมันสมองคิดไม่ได้ ปัจจุบันเราซักผ้าแบบนั้นกันอยู่ไหม?
ไม่ถึง 20 ปี เราเปลี่ยนจากเครื่องซักผ้าที่เป็นแค่เครื่องจักรกล กลายมาเป็นเครื่องที่มีสมองคิดเองได้ รู้ว่าน้ำที่ 1 ทำอะไรบ้าง น้ำที่ 2ทำอย่างไร แล้วน้ำที่ 3 เราก็ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มได้ด้วย แล้วโฆษณาที่ออกมาก็คือว่าเมื่อใดที่เราใช้ผ้า 1 ชิ้น เครื่องก็จะปรับน้ำอัตโนมัติ แสดงว่าอันนี้เราทำให้เครื่องกลคิดเองได้”
วิจิตรา สุริยกุล ณ อยุธยา ผู้อำนวยการกองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวในการบรรยายให้ความรู้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่เป็นแกนนำชุมชน ซึ่งมาเข้าร่วมอบรมเรื่องความรู้เท่าทันภัยมิจฉาชีพออนไลน์ ณ พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ อพวช. ย่านคลองห้า จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงต้นเดือนก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงตัวอย่างหนึ่งของการนำเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ-AI)” มาช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของมนุษย์
โดยการทำงานของ AI คือ “การเรียนรู้จากข้อมูล ประมวลผลและสร้างสิ่งใหม่ขึ้น” เช่น เมื่อป้อนภาพแมวไปเรื่อยๆ จากร้อยภาพเป็นพันหรือเป็นแสนภาพ ท้ายที่สุดคอมพิวเตอร์จะเข้าใจว่าแมวมีหน้าตาอย่างไร สามารถแยกแยะภาพแมวจากภาพสัตว์อื่นๆ ได้ และขั้นต่อจากนั้นคือคอมพิวเตอร์สามารถรับคำสั่งเพื่อสร้างสรรค์ภาพใหม่ๆ ขึ้นมาได้ ดังที่เรียกว่า Generative AI อาทิ ป้อนคำสั่งให้วาดภาพแมวใส่ชุดอวกาศ
หรือการตั้งโจทย์คณิตศาสตร์ ระหว่างตัวเลขตั้งต้นกับตัวเลขผลลัพธ์ แล้วให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ว่ามีกี่วิธีที่จะคำนวณให้ได้ผลลัพธ์นั้น ซึ่งแนวคิดการสร้าง AI มาเพื่อเป็นสมองของเครื่องจักรกล ก็มาจาก “กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์” คือ “ประสบการณ์เดิมเพิ่มเติมด้วยประสบการณ์ใหม่” เป็นการเรียนรู้จากเรื่องง่ายๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มระดับความยากมากขึ้น ก่อนที่สมองจะประมวลผลออกมาเป็นองค์ความรู้ ดังนั้นเราจึงให้เครื่องจักรเรียนรู้ โดยเบื้องหลังการทำงานของ AI นอกจากจะมี Chipset ประมวลผล สิ่งที่ AI ต้องเรียนก็คือข้อมูลมากมายมหาศาล (Big Data)
ผอ.กองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อพวช.ยกอีกหลายตัวอย่างการใช้ AI ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เช่น “การเดินทาง” แผนที่นำทางยุคแรกๆ จะพบปัญหาการพาผู้ใช้งานหลงทางอยู่บ่อยๆ แต่ต่อมาก็ค่อยๆ ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ สามารถบอกเส้นทางลัดและคำนวณระยะเวลาเดินทางได้ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น “การศึกษา” ในการอ่านหนังสือหรือทำงานวิจัย AI จะช่วยคัดกรองเนื้อหา หรือแม้แต่สร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ขึ้นมาได้“การเป็นผู้ช่วย” หลายคนต้องรู้จักโปรแกรมอย่าง Siri หรือ Google Assistant
หรือเรื่องของ “การแพทย์” ที่ใช้ AI ตรวจสอบภาพดวงตาของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพื่อคัดกรองว่าผู้ป่วยรายใดมีความเสี่ยงตาบอดจากภาวะแทรกซ้อนเบาหวานขึ้นตา นอกจากนั้น ด้วยความที่ AI สามารถเรียนรู้ได้ต่อเนื่องอย่างไม่ต้องหยุดพัก จึงเป็นความหวังว่าจะนำ AI มาช่วยค้นหายารักษาโรคที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละคนแบบจำเพาะเจาะจง หรือแม้แต่การป้อนข้อมูล DNA อายุและพฤติกรรมการใช้ชีวิตเข้าไป AI ก็จะประมวลผลและประเมินว่าคนคนนั้นมีโอกาสป่วยเป็นโรคอะไรได้บ้าง เป็นต้น ตลอดจนการซื้อ-ขายสินค้า การวางแผนท่องเที่ยว ฯลฯ
แต่อีกด้านหนึ่ง “พึงตระหนักว่า AI ไม่ได้ถูกสร้างมาให้มีความรับผิดชอบ..ดังนั้นผู้ที่ต้องรับผิดชอบก็คือคนที่นำ AI ไปใช้งาน” เช่นในการให้ AI ช่วยค้นหาข้อมูล AI จะค้นหาในลักษณะเอาใจผู้ใช้งาน ผู้ใช้งานก็ต้องตรวจสอบอีกชั้นหนึ่งด้วยว่าข้อมูลที่ AI คัดกรองมาอะไรใช้การได้-ไม่ได้ทั้งนี้ หลายประเทศในทวีปยุโรป เริ่มพูดถึงจริยธรรมในการใช้งาน AI อย่างเรื่องการศึกษาที่ไม่สามารถห้ามใช้ AI ดังนั้นคำถามคือจะหาจุดลงตัวอย่างไรให้มนุษย์อยู่ร่วมกับ AI อย่างสันติและมีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ “ฟิลเตอร์แต่งภาพ” ที่ปัจจุบัน AI สามารถแปลงใบหน้าจากภาพถ่าย ให้บุคคลในภาพดูหน้าเด็กลงหรือแก่ขึ้นก็ได้ หรือแอปพลิเคชั่นที่ใช้เทคโนโลยี Deep Fake แปลงใบหน้าตนเองไปใส่กับภาพของบุคคลอื่น-นำใบหน้าบุคคลอื่นมาใส่กับภาพของตนเอง เพราะข้อมูลต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าของคน สามารถแปลงเป็นค่าทางคณิตศาสตร์ให้ AIเรียนรู้และประมวลผลได้
“อันนี้เป็นข้อมูลของ World Economic Forum ของปีนี้ ซึ่งได้มาจากการประชุมของประเทศอาเซียน เรื่องของการพัฒนาด้าน AI หรือการออกกฎหมายด้าน AI จะเห็นว่าเขาพูดถึงเรื่องความเสี่ยงของโลกนี้ในปี 2024 (2567) หรือ Top Global Risks In 2024 อันดับแรกเขาพูดถึงประเด็นเรื่องอากาศที่แปรปรวน เรื่องสภาพความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เขาบอกว่าอันดับ 1 คือ 66% เป็นความเสี่ยงที่ทุกประเทศทั่วโลกโดนคุกคาม
อันดับ 2 คือการที่ AI-generated misinformation/disinformation เป็นโลกที่เราอยู่ร่วมกันแบบที่เราไม่สามารถจะเชื่อได้เลยว่า ทอม ครูซ (Tom Cruise - นักแสดงชื่อดังของฮอลลีวู้ด) ที่เห็นเป็นพระเอก วันดีคืนดีจะลุกขึ้นมาเต้น อันนั้นเป็นของจริงหรือเปล่า? หรือในชีวิตประจำวันเขาทำอย่างนั้นจริงๆ แสดงว่าข้อมูลที่เราเคยเรียนรู้มา เราอาจพบว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกเพียงครึ่งเดียว บางส่วนต้องเว้นเอาไว้ว่าอาจไม่ใช่ทั้งหมด ต้องมีความเอ๊ะในใจ ต้องสงสัยไว้ก่อน” วิจิตรา กล่าว
ในการบรรยายครั้งนี้ วิจิตรา อ้างอิงมุมมองจาก สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่กล่าวถึง “4 มนุษย์สายพันธุ์ใหม่…ยุคเอไอครองโลก” ประกอบด้วย 1.Smart Cyborg เป็นมนุษย์ที่เก่งอยู่แล้ว แต่ยังสามารถผสานกับ AI ได้ทั้งการใช้งานและการฝึกให้ AI ทำงานได้อย่างถูกต้องมากขึ้น 2.Smart User มนุษย์กลุ่มนี้ยังไม่ถึงขั้นฝึกให้ AI ทำงานได้ แต่สามารถเลือกใช้เครื่องมือ AI ได้ตรงกับความต้องการอย่างเข้าใจ 3.Smart Human หรือก็คือมนุษย์ที่เก่ง และ 4.Human มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ปรับตัวหรือขาดโอกาสเรียนรู้
รวมถึงมุมมองจาก อัลวิน ทอฟฟ์เลอร์(Alvin Toffler) นักทำนายอนาคตศาสตร์ซึ่งมีผลงานเขียนมากมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ที่มักจะคาดการณ์อะไรหลายอย่างได้แม่นยำ เช่น เคยบอกว่าในอนาคตมนุษย์ทุกคนจะใช้อีเมล (E-Mail) หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์กันเป็นปกติ ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เทคโนโลยีอินเตอร์เนตเพิ่งเริ่มต้น ซึ่ง ทอฟฟ์เลอร์ก็ได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ในโลกอนาคตคนที่ไม่รู้หนังสืออาจไม่ใช่คนที่อ่านไม่ออก-เขียนไม่ได้ แต่เป็นคนที่ไม่เข้าใจกระบวนการ “Learn-Unlearn-Relearn” หรือไม่รู้จักปรับตัว
ทั้งนี้ประเทศไทยผ่านยุคการศึกษาภาคบังคับ จาก ป.6 สู่ ม.3 จนถึงการศึกษาระดับปริญญาที่ทุกคนเข้าถึงได้ แต่ปัจจุบันเมื่อเข้าสู่สังคมสูงวัย ระบบการศึกษาในระบบอาจไม่ใช่ทางเลือกให้ทุกคนอยู่รอด ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนอาจต้องปรับตัว คือเรารู้ว่าเรารู้ข้อมูลวันนี้ ต่อไปก็รู้ว่าข้อมูลวันนี้อาจไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้อง ใช้คำว่า Unlearn แล้วการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ หรือการมาเที่ยวในสถานที่ที่ส่งเสริมให้เราไปหาความรู้เพิ่มเติมได้ สิ่งนี้คือ Relearn เป็นการ Learn (เรียนรู้)Unlearn (ทิ้งความรู้เดิม) Relearn (เรียนรู้สิ่งใหม่)ทั้งหมดนี้คือ Cycle (วงจร) ของการปรับตัว
“เรารู้ว่าเรารู้อะไร เรารู้ว่าองค์ความรู้นั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ทันสมัย และเราต้องปรับตัวเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ก็คือเรียนรู้ใหม่ แล้วก็รู้จักตั้งโจทย์ แต่ก่อนเราสอนเด็กๆ เราจะบอกว่าให้เด็กรู้จักหาคำตอบ แต่ในโลกอนาคตทุกคนต้องรู้จักวิธีตั้งคำถาม เวลาตั้งคำถาม เราเรียกทางภาษา AI ว่าเราสร้าง Prompt สร้างสิ่งที่จะเอาไปใช้ AI ให้เขาไปหาอะไรมาให้เรา อันนี้ก็เป็นอีกแนวหนึ่ง” ผอ.กองวิชาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม สำนักวิชาการพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อพวช. กล่าว
หมายเหตุ : ขอบคุณภาพบรรยากาศของงานจากเพจเฟซบุ๊ก “Cofact โคแฟค” โดยการอบรมครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง อพวช., ภาคีโคแฟค (ประเทศไทย), สภาองค์กรของผู้บริโภค และสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี