ตร.เปิดปมวางยาสังหาร6ศพ
ฆ่าล้างหนี้10ล้าน
เงินทำธุรกิจเคลียร์ไม่จบ
คนก่อเหตุซดยาพิษด้วย
ใช้‘ไซยาไนด์’ทูตมรณะ
ตำรวจเผยปมวางยาสังหารหมู่ 6 ศพ ในโรงแรมย่านราชประสงค์ มูลเหตุมาจากเรื่องหนี้ 10 ล้าน ที่คนในกลุ่มชักชวนกันไปลงทุนทำธุรกิจโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น แต่การดำเนินการยังไม่เป็นผล จึงมีการทวงถามกันมาตลอด คนลงมือเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้เสียชีวิต เปิดผลพิสูจน์หลักฐาน
พบสารไซยาไนด์ในแก้ว 6 ใน ที่นำใส่กระติกมาเอง ก่อนผสมลงในเครื่องดื่ม ด้านนายกฯ ยืนยันไม่กระทบการท่องเที่ยวเพราะไม่ได้เกี่ยวกับการปล้นทรัพย์หรือเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2567 เวลา 08.40 น.ที่อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าเหตุชาวเวียดนามเสียชีวิต 6 ศพ ในโรงแรมย่านราชประสงค์ ข้อเท็จจริงเป็นการฆ่าตัวตายหรือเป็นการฆาตกรรม ว่า สรุปจริงๆ แล้วยังต้องคอยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์อยู่ ไม่ว่าจะเป็นที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ หรือโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ผ่าพิสูจน์ศพอยู่ แต่จากการสันนิษฐานเบื้องต้นเป็นเรื่องภายในกันเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของการปล้นทรัพย์ หรือเกี่ยวข้องกับความมั่นคงภายในของเราก็ไม่เกี่ยว ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบกับการท่องเที่ยวใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่เกี่ยว
เมื่อถามว่าทราบว่านายกฯได้พูดคุยกับทางเอกอัครราชทูตเวียดนามแล้ว นายเศรษฐา กล่าวว่าใช่ครับ พอท่านทราบก็มา และตนก็มาด้วย จะได้พูดคุยกันได้ อันนี้เป็นเหตุผลหลักที่ตนเดินทางไป ทั้งนี้ให้ความมั่นใจว่าเราให้ความเป็นธรรมทุกอย่าง อย่างน้อยถ้าเกิดว่าข้อมูลเบื้องต้นบอกมาว่าเป็นอย่างไรเราจะได้แจ้งให้เขาทราบ เพื่อเขาจะได้รายงานให้ญาติพี่น้องของเขาทราบ ไม่อยากให้พี่น้องกังวล จะได้เคลียร์ไปทีละเปลาะๆไป
เมื่อถามว่าเห็นทางสำนักงานสอบสวนและสืบสวนของตำรวจสหรัฐอเมริกา (FBI) ลงไปในพื้นที่ด้วยตรงนี้เขาห่วงเรื่องอะไร นายกฯกล่าวว่า ตนว่าเป็นธรรมดา เพราะมีคนสัญชาติอเมริกัน 2 คน กับเป็นคนเวียดนาม
ตรวจกระเป๋าเดินทาง-สอบพยาน5ปาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ เวลา 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำวัตถุพยานและกระเป๋าเดินทางของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย จำนวน 8 ใบจากห้องพักที่เกิดเหตุ มายังห้องประชุมชั้น 2 สน.ลุมพินี โดยมี พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี และชุดคณะทำงานสอบสวน จากนั้นได้ร่วมประชุมทันที โดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าไปสังเกตการณ์ นอกจากนี้ ยังมีพยานอีก 5 คน ที่ตำรวจเชิญตัวให้มาสอบปากคำเพิ่มเติม ซึ่งในจำนวนนี้พบว่ามีญาติของผู้เสียชีวิตรวมอยู่ด้วย โดยมีการสอบปากคำตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา มี ผบก.น.5 และผู้กำกับการ สน.ลุมพินี เป็นผู้สอบปากคำด้วยตัวเอง
หลังสอบปากคำนานกว่า 2 ชั่วโมง พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 เปิดเผยว่า พยานทั้ง 5 ปาก ที่เชิญตัวมาสอบปากคำในคืนนี้ มีทั้งเลขานุการเอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย และเพื่อนของน้องสาวผู้เสียชีวิตที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย พอทราบข่าวตำรวจจึงเชิญตัวมาให้ข้อมูลและช่วยแปลภาษาจากเอกสารต่างๆ ที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางของผู้เสียชีวิต นอกจากนี้จากการตรวจค้นกระเป๋าของผู้เสียชีวิต มีลักษณะที่เตรียมพร้อมที่จะเช็กเอ้าท์ ออกจากโรงแรม และยังพบยาชนิดเม็ดรักษาโรคทั่วไป แต่ต้องส่งไปให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบเพื่อเทียบเคียงลักษณะยาที่พบในจุดเกิดเหตุ ว่าเป็นชนิดเดียวกันหรือไม่ ส่วนศพของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ศพ เจ้าหน้าที่ได้ส่งพิสูจน์ทราบที่ ภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน เป็นชาย 3 คนและหญิง 3 คน โดยทั้งหมดมีเชื้อชาติเป็นชาวเวียดนาม แต่ถือสัญชาติเวียดนามเพียง 4 คน อีก2 คน ถือสัญชาติอเมริกา พบว่าทั้งหมดเดินทางจากประเทศเวียดนามมาไทยด้วยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว แต่ไม่ได้เข้ามาพร้อมกัน
มือวางยาอยู่ในกลุ่มผู้เสียชีวิต
ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. และ พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 จัดชุดสืบนครบาล ,สืบนครบาล5 และสืบ สน.ลุมพินี ร่วมประชุมคลี่ปมการเสียชีวิตชาวเวียดนาม 6 ราย โดยก่อนเข้าประชุม พล.ต.ต.ธีรเดชเผยว่า เมื่อคืนได้เรียกลูกสาวของ 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิตมาสอบปากคำ รวมถึงเรียกสอบพยานแวดล้อมเพิ่มเติมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแต่ละคนให้การเป็นประโยชน์ ตามข้อมูลเชื่อว่า มูลเหตุน่าจะมาจากเรื่องปัญหาหนี้สินไม่มีประเด็นอื่น โดยคนก่อเหตุไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นนอกเหนือจาก 6 คนที่เสียชีวิต เพราะการตรวจสอบการเข้าออกห้องนี้ พบว่ามีแค่กลุ่มผู้เสียชีวิตเท่านั้น
มีรายงานข่าวจากเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานว่า สารที่พบในถ้วย มีลักษณะคล้ายกับไซยาไนด์ แต่มีฤทธิ์ที่แรงกว่าทำให้เสียชีวิตได้อย่างเฉียบพลัน และยังระบุถึงประเด็นที่ตำรวจได้ตั้งข้อสันนิษฐานเอาไว้ หลังจากทราบข้อมูลผู้เสียชีวิต 6 คน มีการจองเข้าพักมา 7 คน แต่เช็คอิน 5 คน พบศพ 6 รายนั้น ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ตรวจสอบหาเบาะแสบุคคลที่ 7 พบแล้ว คาดว่าเป็นน้องสาวของ 1 ใน 6 คนที่เสียชีวิต ตอนนี้ได้ทราบชื่อทั้งหมด 7 คนแล้ว และคนที่ 7 คนนี้ ได้บินกลับประเทศไปตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. เบื้องต้นสันนิษฐานว่า น่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิต และการเสียชีวิตในครั้งนี้ เกิดจากบุคคล 1 ใน 6 ที่เสียชีวิต เป็นผู้กระทำให้คนวางยาทั้งหมด ก่อนตัวเองจะเสียชีวิตเป็นรายสุดท้าย
พบสารพิษในกระติกที่นำมาเอง
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบ.สพฐ.ตร. ระบุว่า เมื่อวานนี้ได้เก็บพยานหลักฐานจากที่เกิดเหตุไปตรวจ ซึ่งเป็นกระติกเก็บความร้อนที่เป็นอะลูมิเนียม ไม่ใช่ของโรงแรม กลุ่มผู้ตายพกมาเอง ภายในมีของเหลวสีดำ คือ กาแฟดำอเมริกาโน และมีแก้วกาแฟที่ดื่มแล้วทั้งหมด 6 แก้ว รวมถึงอาหารบนโต๊ะที่สั่งจากโรงแรมเพื่อรับประทาน อีก 3-4 รายการ ผลการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ของเหลวในกาแฟดำในกระบอกน้ำสแตนเลส 1 ใน 2 กระบอก ในที่เกิดเหตุ ซึ่งผู้เสียชีวิตได้นำมาเองไม่ได้เป็นของโรงแรม มีสารพิษปนอยู่ในเครื่องดื่ม ส่วนเป็นสารพิษชนิดใดขอแจ้งกับชุดสืบสวนก่อนจะแถลงข่าวอีกครั้ง ส่วนน้ำในกระติกพบสารโปแทสเซียมไซยาไนด์ หรือ KCN หรือไม่นั้น ตอนนี้ผลตรวจเบื้องต้นออกมา 1 อย่าง แล้วคือของเหลวที่อยู่ในกระติก ซึ่งเป็นผลที่มีความชัดเจน และกระจ่างที่ทำให้เสียชีวิตหากดูด้วยตาเหมือนเป็นกาแฟดำ แต่บอกได้ว่าพบสารพิษชนิดหนึ่ง
เปิดไทม์ไลน์ผู้เสียชีวิตทั้งหมด
เวลา 11.00 น. ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงว่า ทั้ง 6 ศพ ถูกพบที่ห้อง 502โดยผลชันสูตรประกอบกับการตรวจสอบของกองพิสูจน์หลักฐาน การตรวจสอบกระเป๋าทั้ง 8 ใบ ตลอดจนการตรวจสอบพยานบุคคล ซึ่งรวมถึงญาติของหนึ่งในผู้ตายที่มาให้ปากคำเมื่อคืนที่ผ่านมา สรุปข้อเท็จจริงเบื้องต้นได้ดังนี้ ในห้องที่เกิดเหตุ พบศพทั้งหมด 6 ศพ ศพหมายเลข 1 อยู่ที่ประตูทางเข้า เป็นหญิงสวมเสื้อสีขาว หมายเลข 2 อยู่ภายในห้องนอน สวมเสื้อสีชมพู หมายเลข 3 เป็นชาย หมายเลข 4 เป็นชายโดยพบนอนใกล้ศพหมายเลข 1 บริเวณประตู หมายเลข 5 เป็นหญิง นอนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และหมายเลข 6 เป็นชาย นอนอยู่ข้างกับศพหมายเลข 2 ซึ่งเมื่อตรวจสอบการเดินทางเข้า-ออก และการเข้าพักโรงแรมแห่งนี้ พบว่า
ศพหมายเลข 1 หรือหญิงเสื้อขาว อายุ 46 ปี เดินทางเข้าประเทศไทยครั้งแรกวันที่ 12 ก.ค. 2567 ด้วยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ จากเมืองโฮจิมินห์ โดยมาถึงกรุงเทพฯ เวลา 13.48 น. และมาเช็คอินเข้าพักห้อง 502 จากนั้นวันที่ 13 ก.ค. 2567 ได้ย้ายไปพักห้อง 708 กระทั่งวันที่ 15 ก.ค. 2567 ได้เช็ตเอาท์ออกจากห้อง 708 และย้ายกระเป่าสัมภาระมาที่ห้อง 502 และพบศพในวันที่ 16 ก.ค. 2567
ศพหมายเลข 2 สัญชาติเวียดนาม เป็นหญิงสวมเสื้อสีชมพู อายุ 47 ปี เดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2567 เวลา 12.56 น. มีประวัติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย รวม 17 ครั้ง ต่อมาวันที่ 12 ก.ค. 2567 ได้เข้าพักห้องเลขที่ 1215 ต่อมาวันที่ 14 ก.ค. 2567 ย้ายไปพักห้อง 709 จากนั้นวันที่ 15 ก.ค. 2567 ก็เช็คเอาท์และมาอยู่ที่ห้อง 502
ศพหมายเลข 3 เป็นชาย อายุ 37 ปี เข้ามาประเทศไทยวันที่ 12 ก.ค. 2567 เวลา 12.28 น. มีประวัติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย รวม 11 ครั้ง โดยวันที่ 12 ก.ค. 2567 เข้าพักที่ห้อง 1219 จากนั้นวันที่ 14 ก.ค. 2567 ย้ายไปห้อง 726 จนถึงวันที่ 15 ก.ค. 2567 ก็เช็คเอาท์แล้วไปอยู่ที่ห้อง 502
ศพหมายเลข 4 เป็นชายสัญชาติอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม อายุ 55 ปี สภาพศพสวมเสื้อสีกรมท่า เดินทางเข้าไทยวันที่ 7 ก.ค. 2567 เวลา 09.55 น. มีประวัติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยเพียงครั้งเดียว เข้าพักโรงแรมวันที่ 12 ก.ค. 2567 ห้อง 1212 ต่อมาวันที่ 14 ก.ค. 2567 ได้ย้ายไปอยู่ห้อง 727 และยังคงอยู่ที่ห้องดังกล่าว กระทั่งไปพบเป็นศพในวันที่ 16 ก.ค. 2567 ,
ศพหมายเลข 5 เป็นหญิงสัญชาติอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม อายุ 56 ปี เดินทางเข้าไทยวันที่ 5 ก.ค. 2567 เวลา 13.05 น. มีประวัติเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย รวม 5 ครั้ง เข้าพักโรงแรมวันที่ 12 ก.ค. 2567 ที่ห้อง 504 ก่อนที่วันที่ 13 ก.ค. 2567 จะย้ายไปห้อง 808 ต่อมาวันที่ 14 ก.ค. 2567 ย้ายมาห้อง 502 หรือห้องที่เกิดเหตุ จนพบเป็นศพในวันที่ 16 ก.ค. 2567 ,
และศพหมายเลข 6 เป็นชายสัญชาติเวียดนาม อายุ 49 ปี เดินทางเข้าไทยวันที่ 12 ก.ค. 2567 เวลา 13.48 น. มีประวัติมาไทยเพียงครั้งเดียว แต่ไม่พบประวัติการเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมเหมือนกับอีก 5 ศพ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับจากญาติผุ้เสียชีวิต พบว่า ศพหมายเลข 6 เป็นสามีของศพหมายเลข 1 โดยเดินทางเข้ามาพร้อมกันในวันที่ 12 ก.ค. 2567 ดังนั้นเมื่อสรุปแล้วพบว่า ในกลุ่มผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย
พบการเดินทางเข้าประเทศไทย รายแรก วันที่ 4 ก.ค. 2567 เป็นผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ตามด้วยหมายเลข 5 วันที่ 5 ก.ค. 2567 ต่อมาวันที่ 7 ก.ค. 2567 คือผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 และอีก 3 คนที่เหลือ เข้ามาในวันที่ 12 ก.ค. 2567 โดยผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 หมายเลข 6 มาจากเมืองโฮจิมินห์ ส่วนหมายเลข 3 มาจากเมืองดานัง
ไม่มีบุคคลอื่นเข้าห้องเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม ในการตรวจสอบระบบ booking.com พบการแจ้งเข้าพัก 7 คน โดยคนที่ 7 เป็นน้องสาวของผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 เข้ามาพร้อมกันในวันที่ 4 ก.ค. 2567 แต่ได้เดินทางออกไปจากประเทศไทย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2567 โดยมีปลายทางคือเมืองดานัง ซึ่งตัวละครทั้ง 7 ราย ตำรวจได้รายชื่อครบถ้วน ขณะที่จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ พบการเช็คอินที่โรงแรมแห่งนี้ผู้เสียชีวิตทุกคนมาด้วยตนเอง และไม่มีบุคคลแปลกปลอมอื่นใดเข้าไปพักร่วมด้วย ส่วนช่วงวันที่ 14-15 ก.ค. 2567 ผลตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบเพียงผู้เสียชีวิตทั้ง 6 รายเท่านั้นที่เข้าไปห้อง 502 โดยไม่พบบุคคลอื่นใดอีก กระทั่งตำรวจได้รับแจ้งเหตุจากทางโรงแรมในวันที่ 16 ก.ค. 2567 เวลา 16.30 น. เนื่องจากเลยกำหนดเวลาเช็คเอาท์ ทำให้พนักงานโรงแรมไปตรวจสอบ แต่เมื่อประตูด้านหน้าล็อกก็ต้องอ้อมไปทางด้านหลัง
โดยเมื่อตำรวจทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วก็ไม่พบมีบุคคลใดที่เข้า-ออกด้านหลัง ยกเว้น รปภ. ของทางโรงแรมที่เข้าไปตรวจสอบหลังพบประตูด้านหน้าล็อก ซึ่งประตูด้านหลังไม่ได้ล็อก ก่อนจะมาเปิดประตูด้านหน้าเพื่อให้แม่บ้านและหัวหน้า รปภ. เข้าไปตรวจสอบและแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ ผู้เช็คอินเข้าพักห้อง 502 ที่เกิดเหตุ คือผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ก่อนที่อีก 5 รายที่เหลือจะตามเข้ามาภายหลัง ในช่วงกลางคืนของวันที่ 14 ก.ค. 2567 เวลาประมาณ 23.00-00.00 น. แต่ต่อมาก็แยกย้ายกลับไปอยู่ที่ห้องของแต่ละคน
ไม่ให้พนักงานชงชา-ขอจัดการเอง
พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า วันที่ 15 รุ่งขึ้น หลังจากทั้งหมด หมายเลข 1, 6, 3, 4 และ 2 เช็คเอาท์ ต่างคนก็ต่างลากกระเป๋ามาที่ห้อง 502 ทางห้องโดยผู้เสียชีวิตหมายเลข 4 มีการสั่งอาหารจากทางโรงแรม พนักงานโรงแรมเรามาสอบปากคำแล้ว 2 ปาก คนที่มาส่งอาหาร ยืนยันชัดเจนว่าสั่งอาหารตั้งแต่ 11.42 น. สั่งข้าวผัด 5 จานก่อน สั่งต้มยำกุ้ง 4 ผัดผัก 4 ผัดผักบุ้ง 1 และชาร้อน 2 กา พร้อมแก้วน้ำชา 6 ใบ นี่คือรอบแรก การสั่งอาหารรอบถัดไป หมายเลข 3 สั่งข้าวผัดเพิ่มอีก 1 จาน และขอให้มาส่งในเวลา 14.00 น. ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิด พนักงานได้เข้าไปส่งอาหารที่ห้อง 502 เวลา 13.51 น. และออกมาเวลา 13.57 น. รวม 6 นาที โดยช่วงที่เข้าไป พบเพียงผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 มารับอาหารและเครื่องดื่มคือน้ำชา โดยจุดเกิดเหตุ จะเห็นโต๊ะสี่เหลี่ยมอยู่ด้านใน พร้อมกับโต๊ะกลมที่ใช้วางอาหาร ซึ่งพนักงานยืนยันว่า ได้นำอาหารทั้งหมดใส่ถังและนำไปวางในโต๊ะสี่เหลี่ยม ส่วนชุดชาไปวางไว้ที่โต๊ะกลมโดยพนักงานบอกว่าจะชงชาให้ แต่ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจัดการเอง
จากนั้นเมื่อเวลา 13.57 น. ที่พนักงานออกมาจากห้องพักแล้ว ในเวลา 14.03 น. ผู้เสียชีวิตหมายเลข 1 ลากกระเป๋ามาที่ห้อง 502 ตามด้วยหมายเลข 6 เวลา 14.04 น. หมายเลข 4 เวลา 14.08 น. จากนั้นเวลา 14.20 น. ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 หมายเลข 4 หมายเลข 1 และหมายเลข 3 ได้มารวมตัวกันที่บริเวณหน้าห้อง ซึ่งผู้เสียชีวิตหมายเลข 3 เข้ามาที่ห้อง 502 เวลา 09.00 น. และมาอีกครั้งเวลาเกือบ 11.00 น.
พบสารไซยาไนด์ที่แก้วทั้ง6ใบ
โดยสรุปช่วงเวลา 14.12-14.13 น. ผู้เสียชีวิตทั้งหมดได้มารวมกันที่หน้าห้อง ส่วนผู้เสียชีวิตหมายเลข 2 ก็ได้เข้าไปอยู่ในห้อง ก่อนที่เวลา 14.17 น. ผู้เสียชีวิตกลุ่มที่มาอยู่บริเวณหน้าห้องก็ทยอยกันเดินเข้าไปในห้อง และไม่พบใครเดินออกมาจากห้องอีก อย่างไรก็ตาม ยังคงรอผลชันสูตรศพจากทางนิติเวชอยู่ เบื้องต้นพบสารไซยาไนด์ที่แก้วทั้ง 6 ใบ
“ฉะนั้นแล้วในส่วนของฝ่ายสืบสวนสอบสวน ณ ห้วงเวลานี้ ขอยืนยันว่าในการที่เราพบศพทั้ง 6 ศพ แสดงว่า 1 ใน 6 หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟนำถ้วยชากับกระติกน้ำร้อน 2 อัน แล้วก็ถ้วยกานม แล้วก็กาน้ำชา 2 อันที่เห็นในภาพ เข้าไปในห้องในห้วงเวลา 13.57 แล้วออกมา นั่นคือจุดสตาร์ทของเหตุการณ์ครั้งนี้ ว่ามีผู้หนึ่งผู้ใด 1 ใน 6 นั่นแหละที่ทำให้เกิดเหตุเรื่องนี้ขึ้นโดยใช้สารไซยาไนด์” พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุ
มูลเหตุฆ่าล้างหนี้10ล้าน
ส่วนมูลเหตุจูงใจ เท่าที่ได้สอบปากคำญาติผู้เสียชีวิต มีเรื่องที่ติดใจ คือผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 กับหมายเลข 2 เหมือนกับว่าเป็นนายหน้าที่ชักชวนให้ลงทุนทำโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น ในขณะที่หมายเลข 1 กับ 6 ที่เป็นสามี-ภรรยากัน ทำธุรกิจรับเหมาทำถนน ได้ร่วมลงทุนเป็นเงิน 10 ล้านบาท มอบให้ผู้เสียชีวิตหมายเลข 5 ไปแล้ว แต่การดำเนินการยังไม่เป็นผล จึงมีการทวงถามกันมาตลอด และมีการนัดหมายจะไปเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่า จึงเปลี่ยนสถานที่มายังประเทศไทย รวมถึงนัดหมายจะไปไหว้พระกันที่วัดยานนาวา แต่ก็ต้องขอเวลาเจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูลเพื่อให้เกิดความกระจ่าง
1ใน6ศพเป็นช่างแต่งหน้าชื่อดัง
รายงานจากสื่อเวียดนาม ระบุว่า 1 ใน 6 ผู้เสียชีวิต ที่โรงแรมหรูกรุงเทพฯ คือ Mr.DINH TRAN PHU อายุ 36 ปี เป็นช่างแต่งหน้าชื่อดังจากเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเฟซบุ๊ก Phú Gia Gia ของผู้เสียชีวิต ได้โพสต์ข้อความสุดท้ายเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นบัตรเชิญเข้าร่วมงาน DOUYIN MAKEUP TREND ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่กาลา เซ็นเตอร์ นครโฮจิมินห์
สำหรับรายชื่อผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย ประกอบไปด้วย 1.Ms. THI NGUYEN PHUONG อายุ 46 ปี สัญชาติเวียดนาม 2.Ms. THI NGUYEN PHUONG LAN อายุ 47 ปี สัญชาติเวียดนาม 3.Mr. DINH TRAN PHU อายุ 37 ปี สัญชาติเวียดนาม 4.Mr. HUNG DANG VAN อายุ 55 ปี สัญชาติอเมริกัน 5.Ms. SHERINE CHONG อายุ 56 ปี สัญชาติอเมริกัน 6.Mr. HONG PHAM THANH อายุ 49 ปี สัญชาติเวียดนาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี