อนุฯกมธ.ถกเดือด
บี้อธิบดีกรมประมง
ที่มาปลาหมอคางดำ
แจงปมส่งออก17ปท.
อนุฯกมธ.แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ เชิญอธิบดีประมงแจงปมอนุญาตนำเข้า หลังข้อมูลไม่ตรงกับที่เอกชนออกมาโต้และระบุมีการส่งออกปลาสายพันธุ์นี้ ด้านที่ประชุมจี้ถามอธิบดีฯใครเป็นคนนำเข้า
ถามหาตัวอย่างครีบปลาที่ต้องส่งให้ตรวจพิสูจน์ตามเงื่อนไขขออนุญาตนำเข้า ถ้าไม่มีปล่อยให้นำเข้ามาได้อย่างไร ระวังผิดม.157 พร้อมขอรายละเอียดที่ระบุไทยส่งออกปลาดังกล่าว เตรียมบุกเยี่ยมกรมประมงดูสถานที่เก็บตัวอย่าง ขณะที่อธิบดีกรมประมงยอมรับเอกชนไม่ตัดครีบมาส่ง ตกใจนักข่าวถามส่งออก17ประเทศ
เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะรองประธานอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหารวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำเพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย กล่าวก่อนประชุมคณะอนุกมธ.ฯที่เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลว่า เชิญอธิบดีกรมประมงมาให้ข้อมูลเรื่องที่สังคมกำลังสงสัยที่มีเอกชนออกมาตอบโต้ว่าเมื่อปี 2556-2558 มีการส่งออกปลาสายพันธุ์นี้ แต่อธิบดีกรมประมงเองบอกว่าไม่ทราบ อนุกมธ.ฯจึงต้องการทราบข้อเท็จจริง ตกลงไทยส่งออกจริงหรือไม่ และข้อมูลที่เอกชนกับของกรมประมงไม่ตรงกันเรื่องเงื่อนไขส่งซากปลา ที่ตนคิดว่าควรมีเอกสารที่ชัดเจนไม่ใช่ตอบโต้กันไปมา
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่มีการตั้งข้อสงสัย เหตุใดปลาหมอคางดำเพิ่งจะมาระบาด นายณัฐชากล่าวว่า น่าจะเป็นการเข้าใจผิด แต่ความจริงคือ ระบาดมา 14 ปีแล้ว แต่วันนี้ เพิ่งจะมาลุกลามจาก 5 จังหวัด ไป 10 จังหวัด และ 16 จังหวัด แน่นอนว่าวันนี้หากเกิดความผิดพลาดขึ้น ย่อมมีข้อสันนิษฐานบนพยานหลักฐาน และข้อยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะกรมประมงว่าตั้งแต่ปี 2555 ถึงปัจจุบัน อนุญาตนำเข้าเพียงรายเดียว ส่วนการนำเข้าจากที่อื่น ที่ไม่ขอใบอนุญาตหรือลักลอบเข้ามาก็ยังไม่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำ เพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย ที่มีนายแพทย์วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธาน วาระการพิจารณาความเห็นและสาเหตุการระบาดของปลาหมอคางดำ โดยเชิญนายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง มาให้ข้อมูล
ช่วงต้นการประชุม อธิบดีกรมประมง เล่าประวัติของปลาหมอคางดำ และการรุกรานคือกินทั้งพืชและสัตว์ กุ้ง ลูกหอย แต่จากการผ่าองค์ประกอบอาหารในกระเพาะของปลาหมอคางดำพบว่าร้อยละ 94 เป็นพืช ที่เหลือเป็นลูกสัตว์ ซึ่งรุกรานทั่วยุโรป อเมริกาและหลายพื้นที่ของไทยจากเดิม 14 จังหวัดเป็น 16 จังหวัดแล้ว
ทำให้นายแพทย์วาโย สอบถามว่า ใครเป็นผู้นำปลาหมอคางดำเข้ามา ซึ่งจากระเบียบวิธีการวิจัย น่าจะหาต้นตอได้ โดยการตรวจรหัสทางพันธุกรรม ซึ่งรายงานการวิจัยโดยกรมประมงที่ตีพิมพ์ช่วงปี 2565 มีชื่อว่าการวิเคราะห์เส้นทางการแพร่ระบาดของปลาหมอสีคางดำตามพื้นที่ชายฝั่งของไทย จากโครงสร้างทางพันธุกรรมของประชากร พบว่าความใกล้ชิดกันของพันธุกรรมปลาสูงมาก มาจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่กี่คู่ จึงอยากให้ขยายความ เพื่องานวิจัยนี้ที่กรมประมงเป็นคนทำเองด้วยซ้ำ
“แสดงว่าเรามีตัวอย่างและ DNA ปลาที่ระบาดในประเทศไทยแล้ว ถ้าเราจับตัวตั้งต้นได้ อาจเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ไม่กี่คู่ แล้วโป๊ะเช๊ะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน ก็น่าจะคลายความสงสัยและหาตัวผู้ทำผิดได้ ตัวอย่างปลาที่เป็นขวดโหล 25 ตัว ที่บริษัทเอกชนรายหนึ่งแถลงข่าวมาว่ามอบให้กรมประมงไปแล้ว แต่อธิบดีฯยืนยันว่าไม่มีสมุดคุม ต้นขั้ว แต่ท่านรองฯมารายงานว่าน้ำท่วมไปหรือไม่ ปี 2554 เราต้องขออนุญาตไว้ก่อน ว่าอยากไปเยี่ยมกรมประมง ไปดูห้องเก็บตัวอย่างว่าอยู่ชั้น 1 หรือ ชั้น 2 แล้วน้ำท่วม ท่วมถึงระดับไหน จากรายงานของชาวบ้านรู้สึกจะประมาณเข่า จึงอยากไปดูว่าท่านเก็บไว้ที่พื้นหรือวางไว้บนชั้น แล้วน้ำสามารถพัดพาตัวอย่างนี้ไปได้หรือไม่ ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย” นายแพทย์วาโย กล่าว และว่า ตนได้รับรายงานอีกว่าบันทึกการประชุมของคณะกรรมการ IBC ของกรมประมงเอง ว่า ณ วันนั้นมีมติของที่ประชุมอนุญาตให้นำเข้า เนื่องจากเป็นเรื่องเดิมที่เคยขออนุญาตแล้ว ภายใต้เงื่อนไขเดิม
“สรุปว่ากรมประมงให้บริษัทซีพีเอฟสามารถนำเข้าปลาหมอคางดำได้ ภายใต้เงื่อนไข ให้กรมประมงเก็บตัวอย่างครีบ โดยไม่ทำให้ปลาตายอย่างน้อย 3 ตัว ไม่มีทั้งตัวก็ได้ ผมขอตัวอย่างครีบ 3 ตัว ให้ทางหลายหน่วยงานได้ตรวจ DNA ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้รับขวดโหล 2 ขวดนั้น แต่ท่านต้องมีตัวอย่างครีบที่ท่านเป็นคนเก็บเอง ณ บัดนั้นด้วย” นายแพทย์วาโย กล่าว และถามต่อว่า เมื่อวานอธิบดีระบุไม่มีกฎหมายเอาผิดผู้ที่ปล่อยปละละเลยได้ อยากให้ช่วยขยายความว่าไม่มีข้อกฎหมายเลยหรือไม่ และข้อสุดท้าย จะปล่อยปลาที่ตัดต่อพันธุกรรมแล้ว ปล่อยให้ไปผสมพันธุ์จนได้ปลาที่เป็นหมัน แต่มีงบเพียง 150,000 บาท จึงไม่แน่ใจว่าเพิ่มงบแล้วหรือยัง และตอนนี้เริ่มวิจัยไปแล้วหรือยัง
ขณะที่นายณัฐชาถามอธิบดีกรมประมงว่า เรื่องบริษัทเอกชนที่ตอบโต้กลับมาว่ามีการส่งออกปลาพันธุ์นี้ไปยังประเทศอื่นด้วยในปี 2556-2560 จริงเท็จอย่างไร ซึ่งมีข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผย จึงอยากให้ชี้แจง เรื่องการส่งตัวอย่างในการตรวจสอบว่าปลาที่ดองไว้ในขวดโหลจะมีกระบวนการอย่างไร และตนอยากทราบว่ากรมประมงใช้งบไปทั้งหมดเท่าไหร่ รวมถึงแนวทางที่ถูกต้องในการนำเข้าปลาต่างถิ่นเข้ามา และการติดตามต้องทำอย่างไร
อธิบดีกรมประมงได้ตอบคำถามของนายณัฐชาว่า ข้อมูลวันนี้ที่กรมประมงมีที่ พอจะเห็นร่องรอย มีบริษัทเดียวที่ขอนำเข้า เดือนกันยายน 2553 พร้อมย้ำว่า กฎหมายประมงปี 2528 มีมาตรา 54 ห้ามผู้ใดนำสัตว์น้ำมาในราชอาณาจักร ยกเว้นการลักลอบ ด้วยเหตุผลการแพร่ระบาดของโรค แต่กรมประมงกำหนดเงื่อนไขโดยคณะกรรมการ IBC ว่าต้องเก็บตัวอย่างครีบดองในน้ำยา เพื่อส่งวิจัยชีวภาพสัตว์น้ำ สำนักวิจัยและพัฒนา กรณีไม่ทำตามจะไม่อนุญาต นี่เป็นหลักการของ IBC
อธิบดีกรมประมงกล่าวต่อว่า ต่อมาปี 2558 ก็ได้เห็นข้อบกพร่องของกฎหมาย จึงกำหนดไม่ให้ผู้ใดนำสัตว์น้ำที่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ โดยให้รัฐมนตรีไปกำหนดในประกาศกระทรวงปี 2561 ปลาหมอคางดำก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ตนคิดว่าโทษยังไม่พอ จึงอยากขอให้ทุกคนสนับสนุนให้มีโทษทางอาญาด้วย ส่วนเรื่องการวิจัยปลาตัวอย่างที่จะปล่อยไปผสมพันธุ์ เพื่อให้ออกลูกเป็นหมันนั้น อยู่ระหว่างทดลอง 3 ชุด เพื่อจะให้มีความเชื่อมั่นก่อน งบที่ว่า 150,000 บาท เป็นงบแค่น้ำยา เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์อื่นเรามีอยู่แล้ว
“ส่วนเรื่องการส่งออกปลาไปที่ประเทศอื่นนั้น นักข่าวมาถามผม ผมก็ตกใจ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้ จึงตั้งทีมค้นคว้า พบว่ามีการส่งออกปลาเมื่อปี 2556-2559 ไป 17 ประเทศ โดยมีผู้ส่งออก 11 ราย มีปลาทั้งสิ้น 230,000 ตัว แต่ปี 2561 ตอนแก้กฎกระทรวงก็ไม่มีการส่งออก ย้ำว่าอะไรที่เราเจอเราก็นำเรียนให้ทราบ”อธิบดีกรมประมงระบุ
อธิบดีกรมประมงชี้แจงต่อว่า สำหรับปลาหมอคางดำ 2,000 ตัวนำเข้ามาทางด่านสุวรรณภูมิ ตนเรียกสมุดคุมมาแล้ว ก็ไม่มี แต่บริษัทเอกชนกล่าวอ้างว่าส่งมา จึงต้องไปดูที่ต้นทาง ถ้ามีก็ขอให้นำมาเปิดเผย ตอนนี้กรมประมงใช้งบป้องกันและเฝ้าระวังไป 1.79 ล้านบาท งบโครงการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ ปี 2561 จำนวน 11 ล้านบาท งบวิจัย ปี 2561 จำนวน 4000,000 บาท และงบส่วนอื่น นอกจากนี้ ยังมีการของบประมาณ 181 ล้านบาท เพื่อดำเนินการ 5 เรื่อง กำจัด ปล่อยปลานักล่า รณรงค์ให้มีการบริโภค สำรวจรายงาน และประชาสัมพันธ์ แต่ยังไม่เห็นชอบงบประมาณ ซึ่งตนจะดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็ว
จากนั้นนายแพทย์วาโย ขอสำเนาสมุดคุมว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร จะได้คลายความสงสัย พร้อมย้ำถึงการเก็บตัวอย่างครีบว่าในรายละเอียด ให้กรมประมงเป็นผู้เก็บตัวอย่าง โดยไม่ทำให้ปลาตาย ตอนที่นำเข้าปลา ตรงนี้มีการเก็บหรือไม่ ตัวอย่างอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีการเก็บ จะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ท่านอนุญาตแบบมีเงื่อนไข ซึ่งจะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้ทำตามเงื่อนไขครบทุกข้อแล้ว ถ้าไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขครบทุกข้อ หมายความว่าไม่สมบูรณ์และอาจไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่
“สังคมกำลังตั้งคำถามว่าปลาที่หลุดอยู่ในประเทศไทย ไม่รู้ว่ามันซื้อตั๋วมาเองหรือไม่ มันหลุดมาจากงานวิจัยชิ้นนี้หรือไม่ ถ้าหลุดมาจริง ก็อาจเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 55 มีโทษจำคุกเช่นเดียวกัน” นายแพทย์วาโย กล่าว
ซึ่งอธิบดีกรมประมงได้กล่าวว่า ขอกลับไปดู ตนก็พยายามหากฎหมายว่ามีช่องใดไปถึงบ้าง ตนอาจไม่รู้กฎหมายลึก ยอมรับว่า จริงๆเป็นหน้าที่ราชการจะอ้างก็ไม่ได้ ย่อมมีผู้รับผิดชอบ มี 2 ความรับผิดชอบ คือรับผิดชอบทางกฎหมาย รับผิดชอบต่อสังคม
“ในระบบการส่งออกสัตว์น้ำนั้น เรามีระบบ ถ้าเป็นสัตว์น้ำเป็นสัตว์ควบคุม เช่น สัตว์อยู่ในบัญชี สัตว์คุ้มครอง การจะส่งออกต้องมีที่มา เช่น จระเข้ กรณีมีชีวิต ต้องมาขอใบรับรองจากกรมอนามัยว่าปลอดโรค และไปยื่นที่ด่าน ขอส่งไปปลายทางตามที่ประเทศนั้น ต้องรับรองโรค แต่ปลาหมอคางดำ มีประกาศห้ามไม่ให้ส่งออกปี 2561 ปี 2556-2559 ไม่ใช่เป็นสัตว์คุ้มครอง เขาก็เอาจากแหล่งธรรมชาติที่รุกรานอยู่ ต้องไปดูว่าแพร่กระจายเมื่อไหร่ ผมก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเขาเอามาจากไหน แต่ก็เห็นได้ว่าเมื่อมันชุกชุมจากธรรมชาติ เขาก็ไปเก็บจากธรรมชาติ“ อธิบดีกรมประมง กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี