ตร.ไทยขอเขมรล่า100คน
ผู้ต้องหาหมายจับแก๊งคอล
ประชุมร่วม ผบ.ตร.ไทย-เขมร ราบรื่น ฝ่ายไทยขอแรงช่วยตะครุบคนไทยกว่า 100 คน มีหมายจับคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ไปซุกในเขมร ขณะที่ฝ่ายเขมรขอไทยช่วยแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ให้เป็นรูปธรรม
เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 25กรกฎาคม2567 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.อ.ซอ เทต ผบ.ตร.กัมพูชา และคณะ โดยผ่านระบบประชุมทางไกล ซึ่งที่ประชุมฝ่ายไทยยังประกอบด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ตำรวจภูธรจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เข้าร่วมประชุมด้วย ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่ประชุมได้หารือถึงข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ตำรวจทั้งสองประเทศแสวงหาความร่วมมือปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง โดยตำรวจไทยได้นำเสนอคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้น ซึ่งยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง ที่จะต้องอาศัยข้อมูลความร่วมมมือของกัมพูชาในการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังมีการทบทวน ข้อหารือที่ได้เคยตกลงกันไว้ระหว่างสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน (Task force) เพื่อแก้ปัญหาปราบปรามอาชญากรรมดังกล่าวอย่างจริงจัง และจะมีการหารือกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้าที่ประเทศกัมพูชา ผลการประชุมหารือเป็นไปในทิศทางที่ดี ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นร่วมกันที่จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดอยู่ในสองประเทศ ให้ได้ผลอย่างจริงจังภายใน 60 วัน ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี
ต่อมา เวลา 11.50น.ภายหลังการประชุม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้น จากการหารือร่วมกันระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีของไทย และ สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูช ที่ได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับมาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยคุกคามใหม่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง จึงได้สั่งการให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของทั้งไทยและกัมพูชาร่วมหารือกันอย่างเร่งด่วน ในที่ประชุมวันนี้ได้ร่วมกันหารือ แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งบริบทของทั้งสองประเทศที่เปลี่ยนไปจากภัยคุกคามของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ในประเทศกัมพูชาที่เชื่อว่าจะเป็นจุดที่มีการตั้งสถานที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ข้อมูลเกี่ยวกับชาวต่างชาติที่มีพฤติการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้ตำรวจกัมพูชาได้ร่วมสืบสวนและปฏิบัติการร่วมกันในอนาคต ซึ่งทางกัมพูชายินดีที่จะร่วมมือด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลผู้กระทำความผิดในไทยที่ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และใช้เป็นฐานในการหลอกลวงคนไทย จึงได้ขอความร่วมมือทางกัมพูชาในการส่งตัวคนไทยที่มีหมายจับเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กว่า 100 คนมาดำเนินการตามกฎหมายของประเทศไทยให้ได้ และหลังจากนี้
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่าว จะมีการตั้งคณะทำงานย่อยร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล วิธีปฏิบัติการร่วมกันทั้งการสืบสวน ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะเดินทางการประชุมหารือเพื่อกำหนดทิศทางและ วางแผนการปฏิบัติการร่วมกัน โดยเน้นเรื่องเกี่ยวกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์เป็นหลักในสัปดาห์หน้าที่ประเทศกัมพูชา ขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างการกำหนดบุคลากรตำรวจที่จะร่วมในคณะทำงาน และทางเจ้าหน้าที่ไทยพร้อมรับข้อเสนอความร่วมมือเกี่ยวกับการปราบปรามการค้าจากทางกัมพูชา และเรื่องอื่นๆเพื่อกลับมามอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในไทยร่วมดำเนินการต่อไป
ในประเด็นดังกล่าว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเป็นอย่างมาก และขอขอบคุณฝ่ายกัมพูชาที่ร่วมมือในการสืบสวนปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตามที่ไทยให้ข้อมูล ทั้งนี้ทางกัมพูชายังได้ขอให้ไทยช่วยสืบสวนปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ซึ่งตำรวจทั้ง 2 ประเทศ จะตั้งคณะทำงานเพื่อปฏิบัติงานร่วมกันที่กัมพูชาในช่วงต้นสิงหาฯ นี้ครับ“
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี