เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลนัดฟังคำสั่งคดีที่กลุ่มผู้เสียหายหุ้นกู้ STARK ยื่นฟ้องแพ่ง นายนันทวัฒน์ สำรวญหันต์ ผู้สอบบัญชี และบริษัทดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ ฐานละเมิด คดีหุ้นกู้ STARK รุ่น 239A และ 249A โดยขอดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยวันนี้ มีกลุ่มผู้เสียหายประมาณ 60 กว่าคน นายจิณณะ แย้มอ่วม ทนายความผู้ดำเนินคดี เดินทางมาติดตามคำสั่งศาล
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานจากทางไต่ส่วนว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะสมาชิกของกลุ่มบุคลที่ซื้อหุ้นกู้ของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งชี้ชวนให้ซื้อหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1,2 แล้วมีผู้ซื้อหุ้นกู้ประมาณ 1,000คน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชีหรืองบการเงินของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน โดยโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองจัดทำข้อมูลอันเป็นเท็จ ตกแต่งงบการเงินของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นเหตุให้โจทก์และกลุ่มบุคคลที่ซื้อหุ้นกู้ของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหายจากการหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวแล้วลงทุนซื้อหุ้นกู้ดังกล่าวแต่ไม่ได้รับเงินต้นคืนพร้อมกับผลประโยชน์อันควรจะได้ และขอบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแกโจทก์และสมาชิกของกลุ่มตามจำนวนเงินต้นที่ซื้อหุ้นกู้พร้อมดอกเบี้ยตามที่กำหนดในใบหุ้นกู้และหนังสือชี้ชวน ดังนั้นสภาพข้อหา คำขอบังคับ รวมทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์และของกลุ่มบุคคลดังกล่าว จึงเป็นการเรียกร้องความเสียหายที่มีลักษณะเดียวกัน และถือได้ว่าเป็นกลุ่มบุคคลจำนวนมาก หากดำเนินคดีอย่างคดีสามัญจะทำให้เกิดความยุ่งยากและไม่สะดวก การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินคดีอย่างคดีสามัญนอกจากโจทก์จะแสดงให้เห็นซึ่งสิทธิการเป็นสมาชิกกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียแล้ว โจทก์ยังแสดงให้เห็นว่า ทนายโจทก์มีประวัติ ประสบการณ์ ความเข้าใจและบทบาทหน้าที่ของทนายโจทก์ในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม
จึงน่าเชื่อว่าโจทก์และทนายโจทก์สามารถดำเนินคดีคุ้มครองสิทธิของกลุ่มบุคคลได้อย่าง เพียงพอและเป็นธรรม จึงอนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ โดยกำหนดขอบเขตของสมาชิกกลุ่มคือกลุ่มบุคคลที่ลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชุดที่ 1 และชุดที่ 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ภายในกำหนด 7 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 222/12 จึงให้รอไว้สั่งคำฟ้องเมื่อคำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มถึงที่สุดแล้ว หากพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทำรายงานเสนอศาลเพื่อพิจารณาสั่งคำฟ้องต่อไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี