เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ พร้อมด้วย ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เป็นประธานพิธีทอดผ้าป่าและยกเสาเอกอุโบสถกลางน้ำ วัดป่ามหาธีราจารย์ พร้อมติดตามการพัฒนาพื้นที่พุทธอารยเกษตร น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่การขยายผลปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนตลอดไป
10 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น. ที่วัดป่ามหาธีราจารย์ บ้านวังอ้อ ตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานพิธีทอดผ้าป่าและพิธียกเสาเอกอุโบสถกลางน้ำ วัดป่ามหาธีราจารย์ โดยได้รับเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และมีพระมหาเถระ พระเถระ ร่วมพิธี อาทิ พระพิพัฒน์วชิโรภาส เจ้าอาวาสวัดป่ามหาธีราจารย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย พระครูโสภณอาภากร เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน เจ้าอาวาสวัดบ้านแขม พระครูปิยจันทคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าจันทราวาส พระครภาวนานุกิจ เจ้าอาวาสวัดป่าขันติธรรม โดย นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี นายประสพโชค อยู่สำราญ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายสมเพชร สร้อยสระคู รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ ดร.ศิริมาเมธ์วดี ศิรธนิตรา นายกเทศมนตรีเมืองพิบูลมังสาหาร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และพุทธศาสนิกชนกว่า 1,000 คน ร่วมในพิธี
โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และถวายธูปเทียนแพเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วถวายสักการะเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ประธานสงฆ์ และนำผู้ร่วมพิธีกล่าวสมาทานศีล รับศีล กล่าวคำถวายผ้าป่า ซึ่งมียอดปัจจัยรวม 5,983,778 บาท
จากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาหาธีราจารย์ ประธานสงฆ์ พิจารณาผ้าป่า นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวถวายสักการะ และอนุโมทนาพุทธศาสนิกชน เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาหาธีราจารย์ กล่าวสัมโมทนียกถา ผู้ร่วมพิธีกรวดน้ำ รับพร และร่วมกันกันประกอบพิธียกเสาเอก โดยคณะสงฆ์ทั้งนั้นประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา เป็นอันเสร็จพิธี และได้เดินทางไปตรวจติดตามการดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 บริเวณตำบลหัวดอน อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยกรมโยธาธิการและผังเมือง
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวสัมโมทนียกถา ความโดยสังเขปว่า ขออนุโมทนาสาธุการ ในการที่ท่านทั้งหลายมาพร้อมเพรียงกันบำเพ็ญกุศลครั้งใหญ่ ในการพิธียกเสาเอกอุโบสถกลางน้ำในวันนี้ ซึ่งเป็นบุญกิริยาอันประเสริฐ น้อมใจให้ระลึกถึงเหตุการณ์เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายพระอารามเวฬุวัน เป็นปฐมอารามในพระศาสนาครั้งนั้น บรรดาพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารผู้ล่วงลับไป ได้รับกุศลอุทิศ จึงพลอยได้รับความสุขตามคติวิสัยไปด้วย ซึ่งท่านสาธุชนทั้งหลาย ผู้บำเพ็ญวิหารทาน ร่วมกันสร้างอุโบสถไว้สำหรับพระสงฆ์ประกอบสังฆกรรม ตลอดจนพุทธศาสนิกชนจากจตุรทิศ เป็นหลักมั่นของการเผยแผ่พระสัทธรรม เกื้อกูลแก่การอบรมเจริญปัญญาย่อมได้รับอานิสงส์มหาศาลดุจเดียวกัน อานิสงส์นี้มิใช่แต่เพียงเฉพาะตัวท่านเองเท่านั้น หากยังสามารถอุทิศไปถึงผู้ล่วงลับไปแล้วในปรโลก และสามารถเผื่อแผ่บอกบุญไปยังญาติมิตรที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้อนุโมทนาสาธุการโดยทั่วหน้ากัน บุญครั้งนี้จึงเป็นบุญใหญ่ เป็นเครื่องอำนวยความสุขมาสู่ผู้เสียสละทรัพย์ภายนอก ให้เจริญงอกงามเป็นท่านสาธุชนผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย จึงถึงพร้อมด้วยจาคะ สามารถสละทรัพย์สินมีค่า มีกุศลเจตนาร่วมสร้างอุโบสถเพื่อเป็นวิหารทาน ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา เอื้ออำนวยให้ชนทั้งหลายได้มาอบรมศึกษา เพื่อรู้จักการรักษาศีล มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ให้เป็นผู้ขวนขวายในการสดับตรับฟังธรรมะ ให้มีความเสียสละละวางจากบาปอกุศล จนบรรลุถึงความงอกงามทางปัญญา
"อุโบสถที่ท่านร่วมกันสร้างถวายไว้ในพระพุทธศาสนานี้ จักแปรเป็นทั้งอริยทรัพย์ในตัวท่านผู้บริจาค และจะเป็นทั้งแหล่งผลิตอริยทรัพย์ให้เพิ่มพูนขึ้นในหมู่พุทธบริษัทโดยทั่วหน้าสืบไป ขอทุกท่านจงยินดีอิ่มเอิบใจในบุญกิริยาที่ได้บำเพ็ญครั้งนี้ และขอให้การก่อสร้างอุโบสถกลางน้ำ วัดป่ามหาธีราจารย์ สำเร็จตามกุศลเจตนาของทุกท่าน เพื่อร่วมกันประดิษฐานพระพุทธศาสมาในดินแดนอารามแห่งนี้ ให้มีผาสุวิหารธรรม ตลอดกาลนานเทอญ" เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวเพิ่มเติม
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ร่วมกันทำให้วัดป่ามหาธีราจารย์มีความมั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยการมีโบสถ์กลางน้ำ ซึ่งเป็นการร่วมกิจกรรมอันเป็นมหากุศลโดยมีผู้เป็นหลักชัยใหญ่ คือ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ที่แม้ท่านมีกิจธุระมากมาย แต่ด้วยความผูกพันกับชาวอุบลราชธานีและพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืนระหว่างฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) อันสอดคล้องกับปณิธานของคนมหาดไทย ทั้งข้าราชการประจำ และข้าราชการ พนักงานส่วนท้องถิ่น ตลอดจนถึงฝ่ายปกครองท้องที่ ในการหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้เป็นรูปธรรมเพิ่มมาก และมุ่งม้นพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทยขับเคลื่อนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนทุกคนโดยมีพระสงฆ์เป็นหลักชัยอย่างยั่งยืน จึงถือเป็นการร่วมกันทำความดี สร้างความสุขและความมั่นคงให้กับคนในชุมชน โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐหรือราชการ เพื่อให้โอกาสกับพี่น้องประชาชน ทั้งการศึกษา การดำรงชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
"มหาเถรสมาคมได้เมตตาให้เจ้าคณะจังหวัดแจ้งคณะสงฆ์ในเขตปกครองมอบหมายพระสังฆาธิการในสังกัด เป็นผู้แทนคณะสงฆ์รับผิดชอบประจำตำบล 1 พระ 1 ตำบล ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาหมู่บ้านให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เป็น "หมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village)" ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อร่วมกันสงเคราะห์ สร้างความสุขให้กับประชาชน โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นหลักชัยและเป็นผู้นำสงฆ์รูปแรก ๆ ของโลกในการน้อมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาประยุกต์สู่ "โคก หนอง นา" ตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก้วร่มโพธิ์ไทรทองคุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมพวกเรา ด้วยการทรงสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชดำริของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 และพระราชทานคำเรียกว่า "อารยเกษตร" โดยเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ได้มีดำริให้วัดทั่วประเทศได้ขับเคลื่อนในชื่อ "พุทธอารยเกษตร" ซึ่งมี ท่านเจ้าคุณพระพิพัฒน์วชิโรภาส (ท่านเจ้าคุณสุขุม) ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย เจ้าอาวาสวัดป่ามหาธีราจารย์ ขยายผลตามแนวพระราโชบายไปทั่วแผ่นดิน" นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม
กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนำพระราชดำริ "อารยเกษตร" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สู่การขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตรตามแนวพระราชดำริ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ระหว่างกระทรวงมหาดไทย วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และจังหวัดนครนายก เป็นเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะออกแบบ พัฒนา วางแผนและบริหารจัดการการใช้ประโยชน์พื้นที่ ในที่ดินของวัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร รวมจำนวน 150 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลคลองใหญ่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตแบบอารยเกษตร ตามแนวพระราชดำริ โดยจัดตั้งเป็น "ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิต ตามแนวทางพุทธอารยเกษตร สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน" อันจะเป็นพื้นที่ตัวอย่างแห่งความยั่งยืนให้กับกระทรวง กรม และจังหวัดต่าง ๆ ในการน้อมนำหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่อารยเกษตร หรือโคก หนอง นา การพัฒนาพื้นที่เพื่อการพึ่งตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ให้เป็นแหล่งรวมปัจจัย 4 ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และยารักษาโรค ตลอดจนการพัฒนาดินเพื่อช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ การอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสัตว์ สร้างสภาพแวดล้อมให้ร่มเย็นเพื่อช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศและลดภาวะโลกร้อน เฉกเช่นพิ้นที่ว่าป่ามหาธีราจารย์แห่งนี้ โดยมีแกนหลัก คือ "พุทธอารยเกษตร" ที่จะเป็นศูนย์กลางอบรมคนทั่วโลกได้มีความรู้ความเข้าใจ และกลับไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองให้มีความมั่นคง และเป็นสถานที่รองรับนักเรียน นักศึกษา หรือผู้คนในสังคมที่อยากทดลองใช้ชีวิตแบบพึ่งพาตนเอง ตามหลักโคก หนอง นา อารยเกษตร และอีกส่วนหนึ่งจะสงเคราะห์ญาติโยมผู้ยากไร้ โดยจะปรับปรุงพื้นที่ทำโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสามารถดำเนินการตามหลักพุทธอารยเกษตรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
"ขอฝากให้พวกเราช่วยกันบอกบุญไปยังพุทธศาสนิกชน ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อที่จะทำให้พวกเราทุกคนได้มีพื้นที่ในการเรียนรู้หลักธรรมคำสอนของบวรพระพุทธศาสนา ทั้งอุโบสถ และเสนาสนะ ช่วยกันทำบุญทำกุศลคนละเล็กละน้อย ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนใหญ่ เพื่อร่วมสมทบทุนตามกำลังศรัทธา เพราะ "น้ำทีละหยดเต็มโอ่ง ดีกว่าน้ำทีละกระป๋องแล้วไม่เต็มโอ่ง" และท้ายสุดนี้ ขอให้พวกเราได้ช่วยกันน้อมนำเอาสิ่งดี ๆ ในวัดป่ามหาธีราจารย์ที่ได้มาร่วมอนุโมทนาในวันนี้ รำลึกนึกถึงและอธิษฐานจิต ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2567 และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ได้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน และขอให้พวกเราดูแลครอบครัวให้ครอบครัวเราเป็นครอบครัวที่สมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดบวรพระพุทธศาสนา ใกล้ชิดพระ ใกล้ชิดวัด ด้วยการที่พวกเราเป็นผู้นำชักชวนให้ลูกหลานและคนในครอบครัวเข้าวัดเข้าวา ประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดี ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา รวมทั้งขอให้นำสิ่งดี ๆ ที่ท่านเจ้าคุณสุขุมได้พัฒนาทั่วประเทศ ด้วยการน้อมนำเอาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา อารยเกษตร ไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง "ชีวิตเราจะมั่นคงแน่ถ้าเราทำตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ให้" และจะยังผลทำให้จังหวัดอุบลราชธานี และประเทศไทยของพวกเรา เป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ยั่งยืนตลอดไป" นายสุทธิพงษ์ กล่าวในช่วงท้าย
ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า การสร้างอุโบสถกลางน้ำจะทำให้พระสงฆ์สามเณรได้บรรพชาอุปสมบทด้วยความสงบ ร่มเย็น จึงขออนุโมทนาบุญร่วมกับทุกท่าน และโดยส่วนตัวคุณแม่ของตนเป็นคนบ้านเขื่องกลาง อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ดังนั้น วันนี้ แม้ว่าจะเข่าเจ็บหรือมีอาการเจ็บป่วยเพียงใด ก็ตั้งใจมาร่วมอนุโมทนากับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ที่สมบูรณ์ และร่วมกันน้อมถวายเป็นพระราชกุศลถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และถวายแด่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เพื่อมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นหลักชัยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วโลกตลอดไป
-(016)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี