รัฐบาลเอาจริง
กำจัดแก๊งคอลฯ
ดึงปท.เพื่อนบ้าน
วางแผนล้างบาง
“นายกฯ”ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มอบ”มาริษ”รมว.กต.ประสานเพื่อนบ้านร่วมผลักดัน – เล็งใช้เวทีแม่โขง-ล้านช้างตอกย้ำสมาชิกร่วมแก้ปัญหา ด้านกระทรวงดิจิทัลฯเดินหน้าล้างบางอาชญากรรมออนไลน์ ล้างบางบัญชีม้า-ซิมม้า อายัดบัญชี เส้นทางการเงิน ปิดกั้นสื่อโซเชียล เว็บผิดกม. เล็งชง “กม.พิเศษ” เพิ่มโทษหนักขึ้น เตรียมเสนอครม.ภายใน 30 วัน
เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยย้ำว่า เป็นวาระที่สำคัญ พร้อมมอบหมายนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อผลักดันการแก้ปัญหาเป็นรูปธรรม พร้อมเผยว่า ตนมีกำหนดเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation: MLC ครั้งที่ 9 ด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคม ที่จ.เชียงใหม่ โดยเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน
ขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งลักลอบค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชา ลาว จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง พร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่างๆ ผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศภายในสัปดาห์นี้
นายมาริษกล่าวขอบคุณทางการลาว โดยเฉพาะนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ แสดงให้เห็นว่าลาวให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวทุกระดับยืนยันทางการไทย พร้อมร่วมมือกับลาวระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน
ด้านนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยีพิจารณาแก้กฎหมายเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ รวมทั้งเร่งคืนเงินผู้เสียหาย โดยมีประเด็นแก้กฎหมายเร่งด่วน ซึ่งมีข้อสรุปดังนี้
1.เร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยเฉพาะกรณีมีการระงับหรืออายัดบัญชีม้าที่มีเงินในธนาคาร มีมูลค่าหลายพันล้านบาท แต่ยังไม่สามารถคืนเงินผู้เสียหายได้ เนื่องจากการดำเนินคดียังไม่สิ้นสุด หรือยังติดขัดข้อกฎหมาย กฎระเบียบที่ล้าสมัย 2.การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล ถือเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมวงกว้าง จึงต้องกำหนดบทลงโทษผู้เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี
3.การป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคนร้ายหรือโจรออนไลน์ และ 4.การระงับธุรกรรมต้องสงสัยในส่วนการใช้ซิมการ์ด หรือการสื่อสารต้องสงสัยเป็นการชั่วคราว
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังหารือถึงการแก้กฎหมายในประเด็นอื่นที่เป็นปัญหาอุปสรรค ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระบวนการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับคดีออนไลน์ ที่จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯจึงมีมติให้คณะอนุกรรมการด้านกฎหมาย รวบรวมประเด็นและจัดทำร่างกฎหมายพิเศษเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรีใน 30 วัน
“การเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้าและซิมม้า พร้อมทั้งเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์คืบหน้าไปมาก การปราบปรามจับกุมให้ถึงต้นตอคนร้ายทั้งที่อยู่ในไทยและอยู่ในต่างประเทศยังไม่น่าพอใจ จากการร่วมทำงานแก้ปัญหาที่ผ่านมา ยังพบปัญหาจากข้อกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการติดตามเงินและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย จึงจำเป็นต้องมีการออกกฎหมายพิเศษ ให้พร้อมเสนอคณะรัฐมนตรีใน 30 วัน” นายประเสริฐ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี