จากการประชุมหารือการบริหารจัดการน้ำ ณ ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ โดยมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการทำงานเรื่องน้ำอย่างต่อเนื่อง และมอบหมายให้กรมชลประทานและสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและประเมินพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ฤดูฝนปีนี้ GISTDA ได้เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติการด้วยข้อมูลจากดาวเทียม THEOS-2 ร่วมกับข้อมูลจากดาวเทียมอื่นๆ ที่ GISTDA ใช้ติดตามสถานการณ์โดยจากฐานข้อมูลพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก 13 ปี (ตั้งแต่ปี 2554-2566) พบว่าพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากมักจะเป็นพื้นที่ราบลุ่มในลุ่มน้ำหลักของแต่ละภาค คิดเป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้นกว่า 35 ล้านไร่ โดยประมาณหรือคิดเป็นร้อยละ 11 ของพื้นที่ทั้งประเทศ ได้แก่ ลุ่มน้ำปิง วัง ยม ในภาคเหนือ (4.5 ล้านไร่)ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและป่าสักในภาคกลาง (7.7 ล้านไร่) ลุ่มน้ำโขง ชี และมูล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (14.9 ล้านไร่)ลุ่มน้ำบางปะกง ลุ่มน้ำปราจีนลุ่มน้ำโตนเลสาบ และลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกในภาคตะวันออก (3.2 ล้านไร่) ลุ่มน้ำแม่กลองลุ่มน้ำเพชรบุรี ในภาคตะวันตก (5.5 แสนไร่)และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบนและตอนล่าง และทะเลสาบสงขลา ในพื้นที่ภาคใต้ (3.9 ล้านไร่)

“น้ำท่วมซ้ำซากไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายเชิงกายภาพ ยังส่งผลกระทบต่อสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจอีกด้วย ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อไปให้กับหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาพื้นที่ทั้งในระดับผังประเทศ ผังภาค ผังอนุภาค ผังจังหวัด ผังเมืองรวม และผังเมืองเฉพาะ เพื่อบริหารจัดการเชิงพื้นที่ทั้งก่อนและหลังเกิดภัยน้ำท่วม และนำไปเป็นข้อมูลเพื่อบริหารจัดการน้ำภาพรวมของประเทศต่อไป”ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าว