เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) จัดงานเสวนาในหัวข้อ “32 Civilized, No More Total Ban: ยกเครื่องกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สู่สังคมที่ดีกว่า” เพื่อบอกเล่าความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ..... ซึ่งขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและตอบข้อสงสัยต่างๆ โดยเฉพาะในประเด็นมาตรา 32 ซึ่งเกี่ยวกับการควบคุมโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ณ ร้าน Sociefee x Chouxstory ใกล้สถานี MRT หัวลำโพง โดยมีผู้ร่วมเสวนาซึ่งเป็นกรรมาธิการฯ จากฝั่งประชาชนและผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กลุ่มต่างๆ ในคณะกรรมาธิการฯ และมีผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายอื่นๆ สื่อมวลชน และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วม
น.ส.เขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย และคณะกรรมาธิการฯ กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ว่า การประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อยกร่างพระราชบัญญัติจาก 5 ร่างฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ โดยยึดเอาร่างฯ ของคณะรัฐมนตรีเป็นหลักนั้น ดำเนินไปแล้ว 30 ครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่การพิจารณาเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากต้องใช้เวลาหารือ ถกเถียง และทำความเข้าใจถึงข้อมูล เหตุผลความจำเป็น และข้อเสนอของแต่ละร่าง อย่างรอบคอบก่อนจะมีมติร่วมกัน โดย 5 ร่างฯ ดังกล่าว ซึ่งผู้ประกอบการและประชาชน ฝ่ายรณรงค์ พรรคการเมือง และรัฐบาลเป็นผู้เสนอ มีจุดยืนและหลักการที่แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะการควบคุมการโฆษณาและสื่อสารการตลาด ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานความไม่ไว้วางใจผู้ประกอบการและวุฒิภาวะของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการฯ มุ่งมั่นที่จะทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายแห่งอนาคต เป็นกฎหมายของส่วนรวมที่ประชาชนมีส่วนร่วมและให้การยอมรับ ปฏิบัติได้ สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของรัฐ และมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสุขภาวะของประชาชน โดยไม่สร้างอุปสรรคหรือภาระแก่ผู้ประกอบการจนเกินสมควร โดยที่รัฐเองต้องเร่งสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับโทษภัยของการดื่มที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะการดื่มจนขาดสติ เมาแล้วขับ และการดื่มก่อนวัยอันควร โดยอาจดำเนินการร่วมกับผู้ประกอบการ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติและตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้เป็นแนวทางในการทำงานของคณะกรรมาธิการฯ ในระหว่างที่เข้าพบเพื่อรายงานความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมาธิการในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
น.ส.เขมิกา ได้สรุปประเด็นที่คณะกรรมาธิการฯ เห็นชอบร่วมกันในหลักการ คือ 1. การยกเลิกประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ซึ่งใช้มานานกว่า 51 ปี โดยกำหนดเวลาห้ามขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, 2. การเพิ่มโทษแก่ผู้ขายที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์และผู้ที่เมาจนครองสติไม่ได้, 3. การปลดล็อคสถานที่ห้ามดื่มและขายบางสถานที่เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว, และที่สำคัญที่สุด คือ 4. การเปลี่ยนผ่านมาตรการการควบคุมการโฆษณาจากลักษณะ near total ban (ห้ามเกือบเด็ดขาด) เป็นการผ่อนคลายมากขึ้นในลักษณะ partial ban (ห้ามเป็นบางส่วน) โดยการให้ข้อเท็จจริงของผลิตภัณฑ์สามารถกระทำได้ แต่จะปลดล็อกมากน้อยเพียงใดยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
นอกจากนี้ น.ส.เขมิกา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนและเครือข่ายของผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเด็นความรับผิดชอบต่อสังคม และการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยง่าย อย่างไรก็ดี มาตรการที่เข้มข้นจนเกินจำเป็นของรัฐในปัจจุบันแก้ไม่ตรงจุด สัดส่วนการดื่มของกลุ่มเด็กและเยาวชนไม่ได้ลดลง ตนเห็นด้วยกับข้อเสนอของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งศึกษาอย่างรอบคอบจากข้อมูลทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็น หนึ่ง แก้ไขมาตรา 32 ให้ผู้ประกอบการโฆษณาได้ โดยให้ข้อเท็จจริงมิใช่อวดอ้างสรรพคุณ โดยต้องกำหนดขอบเขตเนื้อหาที่สามารถโฆษณาได้ และต้องไม่มุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี, สอง เพิ่มบทลงโทษผู้ประกอบการที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และผู้ที่มึนเมาจนขาดสติ ซึ่งปัจจุบันมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ในขณะที่การโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท, และสาม เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้ซื้ออายุต่ำกว่า 20 ปี โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน
“เราตระหนักถึงความห่วงใยของสังคมที่มีต่อกลุ่มเด็กและเยาวชน ดังนั้นจำเป็นต้องยกเครื่องมาตรการทางกฎหมายโดยมองไปในอนาคตและเล็งผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างยั่งยืน มีความชัดเจน ปฏิบัติได้ ลดการใช้ดุลยพินิจของพนักงานเจ้าหน้าที่ ก่อให้เกิดความสมดุลทั้งด้านสังคม สาธารณสุข และเศรษฐกิจ ควบคู่กับการให้การศึกษาแก่ประชาชนตั้งแต่วัยเรียนเพื่อสร้างความตระหนักรู้และสร้างภูมิคุ้มกันจากการดื่มอย่างเป็นอันตราย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำมาตรการกำกับดูแลตนเอง หรือ Self-regulation ซึ่งทำได้จริงโดยสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย และในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ จีน เป็นต้น” น.ส.เขมิกา กล่าว
ด้าน น.ส.ประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟท์เบียร์ (สมาคมคราฟท์เบียร์) และโฆษกคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า มาตรา 32 ของกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับปัจจุบันบัญญัติไว้กว้างๆ โดยไม่ได้กำหนดรายละเอียดข้อห้ามการโฆษณาว่าสิ่งได้ทำได้หรือไม่ได้ไว้อย่างชัดเจน ประชาชนและผู้ประกอบการไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง ทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจในการตีความอย่างกว้างขวางว่าการกระทำใดเป็นความผิดหรือไม่ กำหนดโทษอาญา โทษจำคุก และโทษปรับที่สูงไม่ได้สัดส่วนกับลักษณะการกระทำผิด นอกจากนี้แล้ว การบังคับใช้กฎหมายนี้ลิดรอนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค ทั้งยังสร้างอุปสรรคในการทำธุรกิจสุจริตและอาชีพที่รักของผู้ประกอบการรายเล็กและผู้ผลิตในชุมชน ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้เพราะไม่สามารถแนะนำหรือให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้จักได้ และโดยที่ช่องทางการจำหน่ายมีจำกัดอยู่แล้วแต่รัฐยังได้ออกมาตรการห้ามขายทางช่องทางออนไลน์อีก ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการและทำร้ายอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่งคือส่งเสริมการผูกขาดโดยผู้เล่นเพียงไม่กี่ราย ย้อนแย้งกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการผลิตสุราชุมชน การสร้างความเข้มแข็งของผู้ประกอบการรายย่อย สุราชุมชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจฐานราก รวมถึงเป้าหมายการเติบโตรายได้จากภาษีสรรพสามิตสุรา และการท่องเที่ยวเชิงสุราชุมชน
น.ส.ประภาวี กล่าวอีกว่า ที่ผ่านหน่วยงานของรัฐไม่เคยมีคำอธิบาย หรือสามารถให้ความชัดเจนว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ตามมาตรา 32 ทุกอย่างจึงอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นที่ยอมรับ สร้างความขัดแย้งและความหวาดระแวงระหว่างประชาชน ผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย
“เราเรียกกฎหมายที่บังคับใช้ในปัจจุบันว่าพ.ร.บ.ต้านเหล้า กฎหมายนี้มุ่งเน้นกำจัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งสร้างรายได้ภาษีสรรพสามิตกว่า 1.5 แสนล้านต่อปี ไม่รวมภาษี earmarked (ภาษีเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ) ภาษีนำเข้า และภาษี VAT อีกหลายหมื่นล้าน อีกทั้งยังไม่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการประกอบอาชีพอย่างสุจริตของผู้ประกอบการตัวเล็กตัวน้อย ทำให้ประชาชนธรรมดาถูกดำเนินคดีจำนวนมาก เช่น จากการโพสต์โดยรู้เท่าไม่ถึงการในโซเชียลมีเดีย แม้จะไม่ได้ชักจูงหรือเพื่อประโยชน์ทางการค้า ที่ผ่านมา ผู้ประกอบการได้รวมตัวกันต่อสู้ เริ่มจากการขอแก้ไขมาตรา 32 ก่อนที่จะขอให้ทบทวนมาตราที่สร้างความเดือดร้อนเกินจำเป็นอื่น เช่น เวลาและสถานที่ดื่มและขาย จนต้องรวบรวมรายชื่อเสนอแก้ไขกฎหมาย เพราะเราเดือนร้อนและต้องแบกรับภาระจากกฎหมายนี้หนักมากจริงๆ หลายคนถูกจับปรับเป็นเงินจำนวนที่เกินกว่ารายได้และฐานะทางเศรษฐกิจ ถูกดำเนินคดีทั้งที่ไม่ได้มีเจตนา” น.ส.ประภาวี กล่าว
“เราภูมิใจที่ต่อสู้จนมาถึงวันนี้ที่เราได้มีส่วนร่วมในการยกร่างกฎหมายให้มีความสมดุล โปร่งใส ปฏิบัติได้ เรายืนยันว่าจะสู้ต่อไปจนกว่าจะเห็นมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สมเหตุสมผลและมีประสิทธิผลอย่างแท้จริง เราขอโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ทำธุรกิจ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ และค้าขายได้ดังเช่นปุถุชนทั่วไป เราตั้งใจสร้างนวัตกรรมและพัฒนาคุณภาพเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างภาคภูมิ ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับรางวัลและความชื่นชมมากมายจากสถาบันที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ เราต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมและสร้างสังคมแห่งความรับผิดชอบไปพร้อมกับภาครัฐ ขอให้ภาครัฐเชื่อใจผู้ผลิตและประชาชนให้มากขึ้น และหวังว่าความพยายามทั้งหมดทั้งมวลของพวกเราจะสะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมในพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ ซึ่งจะไปแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับปัจจุบันให้ก้าวหน้า ล้ำสมัย เหมาะสมกับสังคมและเศรษฐกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต และสร้างความเป็นธรรมเท่าเทียม” น.ส.ประภาวี ทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี