กรมชลฯเตือน11จังหวัดรับมือ
ภาคกลางจ่อท่วม
เขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเพิ่ม
‘สุโขทัย’ระทม4อำเภอ
ครม.ดันวาระแห่งชาติ
กรมชลฯเตือน 11 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา เตรียมพร้อมหลังจากเขื่อนเจ้าพระยา เพิ่มการระบายน้ำ ส่วน สทนช.เตือน 30 สิงหาคมนี้
น้ำทะเลหนุน ด้าน จ.พะเยา ฝนหนักทำน้ำป่าหลากท่วม อ.ภูซาง พบบ้านทรุดเสียหาย ขณะที่สุโขทัย น้ำท่วม 4 อำเภอ เสียหายยับ ครม.เห็นชอบตั้งศูนย์อำนวยการฯ ยกเป็นวาระแห่งชาติ
เมื่อวันที่ 27สิงหาคมผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์แม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงเวลา 06.00 น.ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำ C.2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณ 1,166 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)/วินาที เพิ่มขึ้นจากวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา 105ลบ.ม./วินาที โดยปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ที่ อ.เมืองชัยนาท มีปริมาณ 1,163 ลบ.ม./วินาที เพิ่มขึ้น41ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนสูงขึ้น41 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 16.54 เมตร(รทก.) น้ำระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยา 898ลบ.ม./วินาที เพิ่มขึ้น 198ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำท้ายเขื่อน ที่ อ.สรรพยา สูงขึ้น 89 เซนติเมตร อยู่ที่ระดับ 10.53 เมตร(รทก.) ต่ำกว่าตลิ่ง 5.81 เมตร(รทก.)
นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ออกหนังสือแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา ฉบับที่ 5/2567 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2567 ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 11 จังหวัดลุ่มเจ้าพระยา ได้แก่ จ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกทม.ให้เตรียมรับสถานการณ์น้ำ และประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บริษัท ห้างร้าน ที่ประกอบกิจการในแม่น้ำเจ้าพระยา และประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย ให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ กรมชลประทานคาดการณ์ว่าใน1-7วันข้างหน้า ในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดน้ำC2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ประมาณ1,400ลบ.ม./วินาที และปริมาณน้ำจากลำน้ำสาขา จะมีประมาณ300ลบ.ม./วินาที ทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท มีปริมาณ 1,700ลบ.ม./วินาที จึงมีความจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น ในอัตราระหว่าง 900-1,400ลบ.ม./วินาที ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และ ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา(แม่น้ำน้อย) สูงขึ้นจากปัจจุบันอีก 50 เซนติเมตร จนถึง 1.5 เมตร โดยจะไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน หากปริมาณน้ำเหนือเพิ่มขึ้นที่จะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยามากกว่า 1,400ลบ.ม./วินาที
ด้านสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประกาศเตือนเรื่องน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 30 สิงหาคม-5 กันยายนนี้ ว่าเนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง และคาดว่าจะมีฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำบางปะกง เสี่ยงน้ำท่วมบริเวณชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ใน จ.สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี กทม.และสมุทรปราการ คาดว่าระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ จ.สมุทรปราการ จะสูงประมาณ 1.7-2เมตร
ที่ จ.พะเยา ผู้สื่อข่าวรายงานถึงสถานการณ์น้ำท่วม ว่ายังคงมีฝนตกตั้งแต่ช่วงกลางดึกต่อเนื่องถึงเช้ามืด ทำให้น้ำป่าเริ่มไหลทะลักเข้าท่วมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.ภูซาง ซึ่งมวลน้ำไหลบ่าอย่างกะทันหัน ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถขนย้ายข้าวของหนีน้ำได้ทัน จึงถูกกระแสน้ำพัดพาทรัพย์สินต่างๆ สูญหายไปกับน้ำ นอกจากนี้ยังพบว่าบ้านของนายแดง ผาแก้ว พื้นที่ทุ่งติ้ว หมู่ 6 ต.ภูซาง อ.ภูซาง ได้ทรุดตัวและพังลง
นายสมชาย วงศ์จริยะเกษม นายอำเภอภูซาง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีมวลน้ำป่าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว โดยฝนที่ตกหนักตลอดคืน ส่งผลให้5 ตำบลใน อ.ภูซาง ถูกน้ำป่าไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของชาวบ้าน บางพื้นที่เป็นการท่วมซ้ำซาก ซึ่งยังอยู่ในช่วงแก้ไขสถานการณ์ภายหลังน้ำลด อย่างไรก็ตาม ผู้นำชุมชนทุกพื้นที่ได้รายงานข้อมูลเบื้องต้นให้ทราบแล้ว เหตุที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งแก้ไขและวางแผนการจัดการน้ำใหม่ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ก็จะประสบเหตุน้ำท่วมซ้ำซากอย่างแน่นอน
ส่วนที่ จ.สุโขทัย สถานการณ์น้ำท่วมยังคงทวีความรุนแรงและระดับน้ำแม่น้ำยมยังไม่พ้นวิกฤต เนื่องจากมวลน้ำจาก จ.พะเยา และ จ.แพร่ ไหลลงสู่ จ.สุโขทัย จนน้ำล้นตลิ่งหลายพื้นที่ และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าช่วงวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมอีก
ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.สุโขทัย เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ว่ามีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 4 อำเภอ 21ตำบล 69หมู่บ้าน 3 ชุมชนรวม 2,767ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร 1,916 ไร่ ถนน 21 สาย โรงเรียน1แห่ง โดย อ.เมืองน้ำล้นพนังกั้นน้ำ มีผลกระทบใน6 ตำบล 17 หมู่บ้าน 3 ชุมชน 518 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร 100 ไร่ ถนน 2 เส้น ประกอบด้วย ชุมชนวังหิน ชุมชนคูหา ชุมชนธานี ต.ธานี ต.ปากแคว ต.ยางซ้าย ต.บ้านหลุม ต.บ้านสวน และ ต.ปากพระ
ขณะที่ อ.ศรีสำโรง คันดินใต้สะพานสิริปัญญารัตถูกน้ำกัดเซาะพังทลาย ส่งผลให้น้ำท่วมขังบ้านเรือนใน 4 ตำบล 7 หมู่บ้าน 374 ครัวเรือน ประกอบด้วย ต.วังทอง ต.วังใหญ่ ต.วัดเกาะ และ ต.สามเรือนส่วน อ.ศรีสัชนาลัย น้ำท่วมขังบ้านเรือน 4 ตำบล 16 หมู่บ้าน 212 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร 16 ไร่ โรงเรียน 1 แห่ง ถนน 11 เส้น ประกอบด้วย ต.แม่สิน ต.ศรีสัชนาลัย ต.ท่าชัย และ ต.แม่สำ สำหรับ อ.สวรรคโลกมวลน้ำทะลักใต้กำแพงพนังคอนกรีตกั้นน้ำริมแม่น้ำยม หมู่ 6 ต.ท่าทอง และน้ำกัดเซาะเป็นระยะทางกว่า 20 เมตร ท่วมบ้านเรือนกว่า 100 หลัง ส่วนคันคลองยม-น่านถูกกัดเซาะ ส่งผลให้น้ำท่วมขังบ้านเรือน 7 ตำบล 31 หมู่บ้าน 1,663 ครัวเรือน พื้นที่ทางการเกษตร 1,800 ไร่ ถนน 8 เส้น ประกอบด้วย ต.ในเมือง ต.คลองยาง ต.ย่านยาว ต.คลองกระจง ต.ท่าทอง ต.เมืองบางยม และ ต.วังพิณพาทย์ โดยขณะนี้ทุกหน่วยงาน ต่างระดมกำลังเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน พร้อมเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำในจุดเสี่ยงอย่างใกล้ชิด หากเกิดสถานการณ์จะเข้าช่วยเหลือชาวบ้านโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ทันที
อีกด้านหนึ่ง น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายบริหาร แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่ามีการหารือถึงสถานการณ์น้ำที่ส่งผลกระทบกับประชาชนในวงกว้าง โดยสถานการณ์เกิดขึ้นซ้ำซาก เรื้อรัง การบริหารจัดการน้ำและการกักเก็บน้ำในภาคเหนือ ยังไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีปัญหาน้ำท่วมทุกปี โดยเฉพาะปีนี้มีมวลน้ำปริมาณมากและสถานการณ์ฝนตก แตกต่างจากที่ผ่านมา จึงต้องมีแผนรองรับแบ่งเป็น 3 ระดับ คือเฉพาะหน้า ระบายน้ำไม่ให้ลุกลาม ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยภายหลังน้ำลด และแก้ปัญหาระยะยาว ต้องยกเรื่องการบริหารจัดการน้ำเป็นวาระแห่งชาติ
น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ที่ประชุมคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมบางพื้นที่คลี่คลายแล้ว แต่บางพื้นที่ยังหนัก เช่น จ.สุโขทัย เป็นพื้นที่รองรับน้ำก่อนระบายสู่จังหวัดต่างๆเนื่องจากคันกั้นน้ำไม่สามารถรับได้ เกิดพังทลาย และมีปัญหาการเวนคืนที่ดิน โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการแก้ไขในเรื่องดังกล่าว
น.ส.นัทรียา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการสถานการณ์อุทกภัย เพื่อให้เป็นเอกภาพในการแก้ปัญหา มีคณะกรรมการ รวมทั้งการใช้งบประมาณและอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน โดยมีนายภูมิธรรม เป็นประธานฯ แบ่งภารกิจเป็น 2 ส่วน คือ 1.การบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ การแจ้งเตือน ให้ทราบข่าวว่าน้ำจะมาช่วงใดเพื่อไม่ให้เกิดความตระหนก โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะคำนวณและยืนยันว่าน้ำจะไม่ถึงสถานการณ์ปี2554โดยมี ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ดูแล และ 2.การดูแลช่วยเหลือประชาชน ให้มีรมว.เป็นหลักบูรณาการจากทุกหน่วยงาน สำหรับงบประมาณจะใช้จากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีกรณีฉุกเฉิน
“สถานการณ์ปัจจุบันที่บางจังหวัดประกาศพื้นภัยพิบัติ จะใช้งบทดลองจ่าย 20 ล้านบาท หากไม่เพียงพอต้นสังกัดจะขอมาที่งบกลางเพื่อพิจารณา แต่เมื่อมีคณะกรรมการชุดนี้แล้ว การดำเนินการทุกอย่าง ต้องรวดเร็วตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนได้ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” น.ส.นัทรียา กล่าว
วันเดียวกัน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ลงพื้นที่ อ.เทิงจ.เชียงราย เพื่อเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้ประสบภัยน้ำท่วม ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้านโดยในช่วงบ่าย นายทักษิณได้เดินทางถึงสถานีขนส่งผู้โดยสาร อ.เทิง พร้อมกับมอบถุงยังชีพให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบกว่า 500 คน ซึ่งมีชาวบ้านที่ต่างร่ำไห้เข้ามาสวมกอดนายทักษิณด้วยความปลาบปลื้ม โดยนายทักษิณ กล่าวทักทายชาวบ้านเป็นภาษาคำเมือง และขอโทษที่มาช้ากว่ากำหนด 2 ชั่วโมง เนื่องจากต้องเปลี่ยนเครื่องบิน
จากนั้นนายทักษิณ ได้เดินทางไปยังบ้านปางค่า ต.ตับเต่า อ.เทิง พบปะผู้นำชุมชนในพื้นที่ประสบภัย พร้อมคณะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ก่อนจะเดินทางกลับออกมาจากพื้นที่ดังกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี