นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า จากการสำรวจพื้นที่ประสบอุทกภัย ด้านพืชที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอ่างเก็บน้ำห้วยเชียงคำ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ อ.บรบือ และ อ.วาปีปทุม รวม 46,835 ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว 45,662 ไร่และมันสำปะหลัง 1,173 ไร่ อย่างไรก็ตามมีการประกาศเขตภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ด้านพืชแล้ว 6 อำเภอ พื้นที่คาดว่าจะเสียหายรวม 151,137 ไร่ ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังบางส่วน มีความกังวลว่าจะทำให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิต จึงเร่งเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังออกจำหน่าย ทำให้ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง จึงสั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัด ประเมินสถานการณ์ พบว่า
มันสำปะหลัง เป็นพืชที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่เกษตรกรส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 65 มักจะปลูกช่วงต้นฤดูฝน(เดือนมีนาคม-พฤษภาคม) และประมาณร้อยละ 20 ปลูกช่วงปลายฤดูฝนหรือฤดูแล้ง (เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ส่วนที่เหลือปลูกช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม โดยเกษตรกรส่วนใหญ่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงเดือนพฤศจิกายน–มีนาคม ซึ่งปริมาณแป้งในหัวมันสำปะหลังของทุกพันธุ์จะมีปริมาณแป้งสูงสุด ส่วนการเก็บเกี่ยวช่วงเดือนเมษายน–ตุลาคม ปริมาณแป้งในหัวมันจะลดลงเรื่อยๆ ทำให้ได้ราคาน้อยกว่าที่คาดหวังเนื่องจากไม่เป็นไปตามมาตรฐานการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขการรับซื้อตามเปอร์เซ็นต์เชื้อแป้งของกระทรวงพาณิชย์

ดังนั้นอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร จึงสั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัด สำรวจ ประเมิน พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เร่งช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ ส่วนพื้นที่ใดไม่ได้รับความเสียหายให้ดูแลบำรุงรักษาผลผลิต เพื่อให้หัวมันสำปะหลังเกิดการสะสมแป้งที่สมบูรณ์