ปปง.-ป.ป.ท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เผยติดตามยึดอายัดทรัพย์สิน 4 คดีสำคัญ ขณะมูลค่าทรัพย์สินยึด 48 คดี รวม 4,522 ล้านบาท
วันที่ 20 กันยายน 2567 ที่โรงแรมแมนดาริน สามย่าน กรุงเทพฯ นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) พร้อมผู้เกี่ยวข้อง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรมครั้งที่ 11/2567 การยึดและอายัดทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิด รวม 48 คดี มูลค่า 4,522 ล้านบาท มีคดีสำคัญ 4 คดี เช่น คดีทุจริตนายช่างโยธากทม. และเครือข่ายโกฟุก
นายเทพสุ เปิดเผยว่า คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและมีการยึดอายัดทรัพย์สินนั้นมี 2 คดี คือคดีของนายภีมพงษ์ นายช่างโยธาสังกัดกทม. ซึ่งมีพฤติการณ์ใช้กลอุบายหลอกลวงเจ้าของสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านหนองจอกว่าพื้นที่สนามกอล์ฟบางส่วนถนน ซึ่งตัวเองสามารถช่วยขยับแนวเส้นให้สนามกอล์ฟเสียพื้นที่น้อยที่สุดได้หากเจ้าของสนามกอล์ฟจ่ายค่าดำเนินการให้ และนายประมวล เจ้าหน้าที่ฝ่ายรายได้ สำนักงานเขตราชเทวี มีพฤติการณ์เรียกรับเงินเพื่อแลกกับการไม่ต้องชำระภาษีโรงเรือนและที่ดิน โดยป.ป.ง. ได้ติดตามยึดอายัดทรัพย์สินทั้ง 2 คน รวมมูลค่า 47 ล้านบาท
นายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการป.ป.ท. เปิดเผยว่า หากเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงใคร เจ้าหน้าที่จะดำเนินการติดตามยึดอายัดทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริตนั้นไม่ได้มีเฉพาะเพียงการดำเนินคดีทางอาญาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้มงวดติดตามยึดอายัดทรัพย์คืนจากผู้ก่อเหตุ โดยทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้จะตกเป็นของแผ่นดินทั้งหมด
นอกจากคดีทุจริตเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ยังมีคดีสำคัญอีก 2 คดี คดีแรกคือการ ยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายโกฟุกหรือนายสง่า ผู้ต้องหาคดีเว็บพนันออนไลน์ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ ได้มีการยึดอายัดทรัพย์บางส่วนไปแล้ว โดย ล่าสุดได้มีการยึดอาญาทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกกว่า 963 ล้านบาท จากการสืบสวนพบการกระทำความผิดเพิ่ม ซึ่งเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร เกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีน้ำมันในประเทศเมียนมา โดยเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินเพิ่มเติม
ส่วนอีกคดี คือการยึดอายัดทรัพย์ สินของนายอภิมุข ผู้ต้องหาในคดีซื้อขายหุ้นมอร์ ซึ่ง ครั้งนี้ได้มีการติดตามยึดอายัดทรัพย์เพิ่มเติมได้กว่า 398 ล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ได้เคยยึดอายัดทรัพย์ไปแล้วประมาณ 5,400 ล้านบาท
ขณะที่นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สำหรับคดีของนายสง่า หรือโกฟุก ตนเป็นพนักงานอัยการที่เข้าไปร่วมสอบสวนกับดีเอสไอโดยเป็นที่ปรึกษาในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์ และทราบว่าทางเจ้าหน้าที่ได้มีการอายัดทรัพย์สินของนายโกฟุกกับพวกไว้ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบแล้ว 930 ล้านบาท ส่วนเรื่องสืบเนื่องของเครือข่ายนายโกฟุกที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาร์ หรือคดีน้ำมันเถื่อนนั้น เนื่องจากเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร จึงได้มีการเสนอไปยังอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดได้มีข้อสั่งการให้ตนไปทำการสอบสวนร่วมกับดีเอสไอเรื่องภาษีน้ำมันเถื่อน เพราะมีการแจ้งว่ามีการเปิดบริษัทอยู่ที่ประเทศเมียนมาร์ แต่สืบทราบว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีอยู่จริง และมีการเลี่ยงภาษีน้ำมัน
ดังนั้น การที่ส่งน้ำมันไปขายอย่างต่างประเทศนับเป็นภาษี 0 น้ำมันลิตรหนึ่งมีราคาค่าภาษีประมาณ 16-17 บาท แต่ถ้ามีการขายให้บริษัทที่ต่างประเทศก็จะไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าไม่มีบริษัทที่ต่างประเทศจริงตามที่กล่าวอ้าง นี่คืออัตราภาษีน้ำมันที่รัฐต้องเสียไป ทั้ง ๆ ที่ควรได้รับ คดีดังกล่าวจึงมีความผิดเข้าข่าย พ.ร.บ.สรรพสามิต พ.ศ. 2560 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ ประมวลกฎหมายรัษฎากร ซึ่งถ้าท้ายสุดพบความผิดตามกฏหมายดังกล่าวก็จะมีความเกี่ยวพันกับกฎหมายฟอกเงินของ ปปง. หรือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวน คดีมีความคืบหน้าเป็นไปตามลำดับ หากสามารถติดตามพบทรัพย์สินอื่นเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายของนายโกฟุก เราจะมีการแถลงยึดทรัพย์เพิ่มเติมต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี