นักวิชาการชี้‘ค่าจ้าง400’ขึ้นได้ปีนี้กระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ระยะยาวต้องลงทุนปรับเปลี่ยนการผลิต-ดึงคนเก่งเข้าปท.
เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2567 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การพิจารณาปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทตามนโยบายของรัฐบาลอาจมีความล่าช้าออกไป ยิ่งล่าช้ามากเท่าไหร่ย่อมทำให้ แรงงานระดับล่างทักษะต่ำแรกเข้าต้องก่อหนี้เพิ่มให้มีเงินเพียงพอต่อการดำรงชีพและเลี้ยงดูครอบครัวเพิ่มขึ้น โดยแรงงานระดับล่างทักษะต่ำส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกในครัวเรือนที่อัตราการพึ่งพิงสูง
แรงงานส่วนใหญ่ของไทยเวลานี้เป็น Sandwich Generation เป็นกลุ่มคนที่ต้องดูแลพ่อแม่สูงอายุไม่ได้ทำงานพร้อมกับดูแลลูกด้วยในขณะเดียวกัน แรงงานกลุ่มนี้จะไม่มีเงินออมเลย จะมีแต่หนี้สินเนื่องจากมีรายจ่ายเกินกว่ารายได้มาก การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงเพียงช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจลงได้บ้างเท่านั้น ต้องอาศัยมาตรการอื่นๆ ด้วยจึงช่วยแก้ปัญหาได้
ส่วนการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำเป็นอัตราเดียวทั่วประเทศ จะช่วยลดการอพยพย้ายถิ่น ต้นทุนของครัวเรือนและสังคมลดลง คุณภาพชีวิตดีขึ้น ลดความแออัดและการกระจุกตัวของความเจริญทางเศรษฐกิจ การจ้างงานในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและเมืองหลัก โรงงานและการจ้างงานจะกระจายไปยังต่างจังหวัดไกลศูนย์กลางทางเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งไทยมีปัญหาการกระจุกตัวของการผลิตและการจ้างงานสูง เกิดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่สูง จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข
โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการจ้างงานในระบบ 6-7 ล้านคน มีสถานประกอบการในระบบกว่า 239,000 แห่ง มีจีดีพีอยู่ที่ 7.5-7.6 ล้านล้านบาท และมีโอกาสการมีงานทำสูงสุด เป้าหมายทางนโยบายสาธารณะต้องลดการกระจุกตัวและกระจายโอกาสในการจ้างงานไปยังทั่วทุกภูมิภาค การย้ายแหล่งการผลิตและการจ้างงานไปยังต่างจังหวัดตามภูมิภาคต่างๆ จะเกิดผลดีต่อพื้นที่ และเกิดตัวทวีคูณท้องถิ่น (Local Multiplier)
.
“นอกจากนี้ยังลดปัญหาความแออัด ปัญหามลพิษทางอากาศและปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสลัมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการแตกสลายของสถาบันครอบครัวในชนบทจากการที่พ่อแม่ลูกไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม การกระจายการลงทุน กระจายภาคการผลิตและโรงงานไปยังพื้นที่ต่างๆต้องมีมาตรการจูงใจเพิ่มเติม เนื่องจากการใช้ระบบอัตราค่าจ้างขั้นต่ำหลายอัตรา เป็นปัจจัยหนึ่งในการดึงดูดให้โรงงานย้ายฐานการผลิตไปยังจังหวัดที่มีระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจต่ำหรือพื้นที่ห่างไกลความเจริญ” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าว
รศ. ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อไปว่า คณะกรรมการไตรภาคีกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรมีความชัดเจนในเรื่องการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทภายในไตรมาสสี่ หากมีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทได้ภายในไตรมาสสี่ จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจ้างงานและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานให้ดีขึ้น ทำให้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นค่าจ้างใกล้เคียงกับค่าจ้างที่เพียงพอต่อการดำรงชีพมากขึ้น
ซึ่งการปรับเพิ่มค่าจ้างเป็นการช่วยทำให้จีดีพีเติบโตสูงขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งนี้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งในสหรัฐอเมริกา จากนโยบายของรัฐบาลโจ ไบเดน ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 4,000 บาทต่อวัน) หรือ เวียดนามปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ หรือ จีนปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดดหลายปีก่อนเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำหลังการเปิดเสรีเศรษฐกิจเติบโตสูงแต่กระจุกตัว
กรณีของไทย การปรับค่าจ้างจะทำให้รายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเพราะค่าจ้างเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในรายได้ประชาชาติของประเทศ ค่าจ้างจึงเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของภาคการบริโภคที่จะส่งต่อภาคธุรกิจในที่สุด ค่าจ้างแรงงานคิดเป็น 39-42% รายได้ประชาชาติ รายได้จากการประกอบการธุรกิจคิดเป็นสัดส่วน 20% รายได้จากทรัพย์สินคิดเป็นสัดส่วน 6% รายได้เกษตรกร 7%
ดังนั้นหาก คกก.ไตรภาคีปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำภายในปีนี้ จะไม่ส่งผลต่อแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มสูงมากนัก ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆของเงินเฟ้อจากอุปสงค์ภายในร้อนแรง การขึ้นค่าแรงจะทำให้อัตราเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ในกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายเท่านั้น การปรับเพิ่มค่าจ้างยังทำให้เกิดการปรับตัวของภาคการผลิต ให้นำเทคโนโลยีเครื่องจักรอัตโนมัติ หุ่นยนต์ หรือปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) มาแทนแรงงานมนุษย์เพิ่มขึ้น การปรับตัวของภาคธุรกิจจะทำให้ผลิตภาพของทุนและระบบเศรษฐกิจดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวจะส่งผลต่ออัตราการว่างงานเล็กน้อยมาก เพราะสังคมไทยเผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงานทุกระดับทักษะอยู่ ความไม่สมดุลตลาดแรงงานท้าทายภาคการผลิตไทยมากขึ้นตามลำดับ ประชากรในวัยทำงานของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องและในอัตราเร่งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยปี 2566 มีผู้สูงวัย 20% วัยแรงงาน 63% และวัยเด็กเพียง 16% ประชากรในวัยทำงานปัจจุบันอยู่ที่ 42 ล้านคน และ มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
ขณะนี้บางกิจการ บางอุตสาหกรรมสามารถทำการผลิตต่อไปได้โดยอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน บางอุตสาหกรรมปรับใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ระบบหุ่นยนต์และเอไอมากขึ้น พึ่งพิงแรงงานมนุษย์ลดลง และผลิตภาพเพิ่มสูงขึ้น จากงานวิจัยของ ธนาคารโลก เรื่อง “Aging and the Labour Market in Thailand พบว่า ภาวะประชากรสูงวัยส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดแรงงานไทยและการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม จำนวนประชากรวัยทำงานที่ลดลงของประเทศไทยส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของบุคคลในประเทศเติบโตลดลง
และหากไม่มีการปรับเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร คาดการณ์ว่าจะส่งผลให้การเติบโตของ GDP ต่อหัวลดลงอีกร้อยละ 0.86 ในทศวรรษ 2020 ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยของ David E. Bloom and Jocelyn E. Finlay พบว่า การเกิดสังคมชราภาพในเอเชียและไทยเป็นผลจากอัตราการเกิดต่ำ กรณีของไทย อัตราการเกิดต่ำทำให้สัดส่วนแรงงานที่อยู่ในวัยหนุ่ม-สาวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนแรงงานในวัยทำงานลดลงในอัตราร้อยละ 0.05 มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 หรือ พ.ศ. 2548
ซึ่งจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะ 25 ปีข้างหน้าเฉลี่ยปีละ 0.45% Robert J. Barro and Salai Martin Xavier ใช้ข้อมูล 102 ประเทศทั่วประเทศรวมทั้งไทย พบว่า ปัจจัยด้านประชากรส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกระหว่างปี ค.ศ. 1965-2005 ผลของการลดลงของสัดส่วนแรงงานวัยทำงานมีผลทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน
“สังคมชราภาพและขาดแคลนแรงงานหนุ่มสาว มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ผ่านช่องทาง 4 ช่องทาง คือ ช่องทางการออม ช่องทางการลงทุนและสะสมทุน ช่องทางผลิตภาพโดยรวม ช่องทางการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน งานวิจัยของ Yung Chul Park and Kwanho Shin ระบุว่า ผลกระทบผ่านช่องทางต่างๆจะชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 ระดับความรุนแรงของผลกระทบต่อประเทศเอเชียรวมทั้งที่เข้าสู่สังคมชราภาพขึ้นอยู่กับโครงสร้างประชากรของแต่ละประเทศ” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนเสนอให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ของการพิจารณานโยบายนิรโทษกรรมในเรื่องการให้สิทธิพลเมืองที่ยืดหยุ่น เพื่อเปลี่ยนสถานะความเป็นพลเมืองตามกฎหมายให้กับแรงงานต่างชาติที่ต้องการเป็นพลเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษ แรงงานทักษะสูง และแรงงานไทใหญ่ที่มีความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ จะทำให้บรรดาแรงงานต่างชาติเหล่านี้เป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
ทั้งนี้ ความไม่สมดุลของตลาดแรงงานจะเป็นปัญหาท้าทายภาคการผลิตของไทยต่อไป เศรษฐกิจและภาคการผลิตบางส่วนต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะงานที่ใช้ทักษะต่ำ ขณะที่แรงงานไทยทักษะปานกลางและสูงจำนวนไม่น้อยเคลื่อนย้ายไปทำงานในต่างประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่ามาก ลักษณะการเคลื่อนย้ายแบบนี้ คือ แรงงานทักษะต่ำไหลเข้า แรงงานทักษะปานกลางและสูงจำนวนหนึ่งไหลออก สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างตลาดแรงงาน ระบบค่าจ้าง
และบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถยกระดับขึ้นมาเป็นระบบเศรษฐกิจการผลิตที่ใช้แรงงานทักษะสูง และผลิตสินค้ามูลค่าสูงด้วยนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ยังติดกับดักโครงสร้างการผลิตและเศรษฐกิจแบบเดิม ส่วนมาตรการรับมือผลกระทบต้นทุนแรงงานต้องมุ่งเป้าไปที่เอสเอ็มอีในกิจการที่ใช้แรงงานเข้มข้น โดยรัฐบาลอาจมีมาตรการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการผลิตให้หันมาใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ส่งเสริมการลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะให้สูงขึ้น มาตรการปรับโครงสร้างราคาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้เป็นธรรมมากขึ้น
“ความรุ่งเรืองเศรษฐกิจรอบใหม่ขึ้นกับการลงทุนทรัพยากรมนุษย์และการจัดระเบียบระบบเศรษฐกิจและสังคมให้มีการแบ่งปันอย่างเป็นธรรม ส่วนแบ่งจีดีพีที่เคยเป็นค่าจ้างแรงงานมนุษย์จะลดลงอย่างชัดเจนจากการเข้ามาแทนที่ของเอไอและหุ่นยนต์ การลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ให้แรงงานมนุษย์สามารถทำงานร่วมกับเอไอและระบบหุ่นยนต์ได้ดีขึ้น และ เสริมการทำงานของแรงงานมนุษย์ ย่อมทำให้ผลิตภาพและความสามารถในการแข่งขันของระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด” รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี