กำนันตำบลปางหมู และสมาชิก อบต.ปางหมู เมืองแม่ฮ่องสอน นำลูกบ้านยื่นหนังสือร้องเรียนผู้ว่าฯแม่ฮ่องสอน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากแพลนผลิตแอสฟัลท์ติกคอนกรีตมีการเผายางมะตอยในการผลิตส่งผลกระทบต่อราษฎรกว่า 2,000 รายที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง
นายชัยวัฒน์ สืบพงศ์เอื้อ กำนันตำบลปางหมู อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่าเมื่อวันที่ 4 ต.ค.67 ที่ผ่านมา ตนและนายพินิจ ใสสว่าง สมาชิก อบต.ปางหมู นายพิริยะ ตวงลาภทวีกิจ สมาชิก อบจ.แม่ฮ่องสอน นำราษฎรในหมู่บ้านขุนกลาง 10 คนไปยื่นหนังสือร้องเรียนของความเป็นธรรมต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ณ ศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีนายประเสริฐ ประดิษฐ์ ในนามประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน แทนนายพิฆเนศ ต๊ะปวง ผู้ตรวจราชการการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับมอบหนังสือร้องเรียนดังกล่าวเนื่องจากราษฎรในหมู่บ้านได้รับผลกระทบจากการผลิตแอสฟัลท์ติกคอนกรีตที่มีการเผายางมะตอยซึ่งส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จนราษฎรบางรายมีอาการแพ้จนต้องหนีไปอยู่ที่อื่นเมื่อมีการเผายางมะตอย
ทั้งนี้ ราษฎรในหมู่บ้านขุนกลาง หมู่ 11 ต.ปางหมู กว่า 2,000 รายได้รับผลกระทบจากการเผายางมะตอยของบริษัทหนึ่งทำให้ควันลอยมากระทบระบบหายใจ ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก อีกทั้งปัญหานี้เกิดมายาวนานกว่า 20 ปีก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด เจ้าของที่ดินที่ให้บริษัทดังกล่าวเช่าได้เคยรับปากกับชาวบ้านว่าจะไม่ต่อใบอนุญาตให้กับบริษัทอีกทั้งเนื่องจากเจ้าของที่ดินได้เข้ามาตรวจสอบกลิ่นเหม็นของการเผายางมะตอยแล้ว แต่ปรากฏว่ายังมีการต่อสัญญาเช่ากันอีก จากปัญหาดังกล่าวชาวบ้านบางส่วนไม่สามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่ได้ขณะที่มีการเผาต้องหนีไปอาศัยบ้านญาติอยู่ในเขตเทศบาล บางบ้านที่ไม่สามารถออกจากบ้านไปได้ ก็ต้องทนดมกลิ่นของยางมะตอยซึ่งเหม็นอย่างรุนแรง
ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 ทางราษฎรในหมู่บ้านขุนกลางได้มีการจัดประชุมหารือเรื่องผลกระทบจากกลิ่นการเผายางมะตอย ที่วัดกุงเปาโดยมีตัวแทนของฝ่ายปกครองอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน มาร่วมรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้มีการยืนยันว่าพอเจ้าหน้าที่จาก อบต.ปางหมู ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องกลิ่นเหม็นจากการเผายางมะตอย ทางโรงงานจะหยุดดำเนินการทันที เหมือนรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการมาตรวจสอบทุกครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊กดังนี้
โรงงานสีเทาผิดกฎหมายจำนวนมากตั้งอยู่ในพื้นที่ของท้องถิ่น แต่ส่วนใหญ่เจ้าพนักงานท้องถิ่นอ้างไม่รู้ ไม่ได้ติดตามตรวจสอบทั้งๆที่มีอำนาจตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 เพราะอะไร
1.พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ.2535 เป็นกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการเหตุเดือดร้อนรำคาญ ออกกฎหมายโดยกรมอนามัยผ่านคณะกรรมการสาธารณสุข แต่ไปกำหนดให้เจ้าพนักงานส่วนท้องถิ่นขององค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล อบต. เป็นผู้ไปดำเนินการระงับเหตุรำคาญตามมาตรา 25 ขณะที่กรมอนามัยและคณะกรรม การสาธารณสุขทำหน้าที่เพียงแค่ให้คำแนะนำแก่องค์กรปกครองท้องถิ่นไม่เคยลงพื้นที่มาช่วยเหลืออะไร
ขณะที่มาตรา 8 กำหนดให้เมื่อเกิดเหตุผลกระทบต่ออนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของ อปท. อธิบดีกรมอนามัยสามารถแจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อสั่งการให้ให้นายแพทย์สาธารณ สุขจังหวัดไปดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่ที่ผ่านมากรมอนามัยไม่ค่อยทราบเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ จึงไม่เห็นสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลงมาช่วยท้องถิ่นจัดการปัญหาการร้องเรียนหรือเหตุเดือดร้อนรำคาญแต่อย่างใด
2.ตามมาตรา 31-33 คณะกรรมการสาธารณสุขสามารถออกประกาศประเภทของกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเพื่อให้ท้องถิ่นไปออกข้อบัญญัติกำกับดูแลสถานประกอบดังกล่าวซึ่งมีอยู่จำนวน 142 ประเภท ตั้งแต่กิจการรับสักยันต์ เลี้ยงหมูไปจนถึงโรงงานปิโตรเคมีขนาดใหญ่ โรงงานสารเคมี โรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม เป็นต้น เจ้าพนักงานกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมใน อบต.หรือเทศบาลมีไม่เกิน 5 คน ไม่มีเครื่องมือตรวจวัด ตรวจสอบใดๆ พนักงานหลายคนเป็นพยาบาลไม่มีความรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมหรืออาชีวอนามัยความปลอดภัย จะไปตรวจสอบโรงงานที่ซับซ้อนได้อย่างไร
3.การออกกฎหมายให้ท้องถิ่นต้องรับภาระตรวจสอบระงับเหตุรำคาญสำหรับโรงงานขนาดใหญ่ หลายแห่งเป็นทุนสีเทาโดยที่คนออกกฎหมายไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยอย่างนี้ ทำให้ท้องถิ่นไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดี เนื่องจากไม่มีความรู้ ไม่มีคนไปตรวจสอบและไม่มีเครื่องมือไปตรวจวัดอาจจะถูกประชาชนฟ้องศาลปกครองตามมาตรา 157 โทษละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ เหตุการณ์ เช่น โรงงานวินโพรเสส จ.ระ ยอง โรงงานเอกอุทัย จ. อยุธยา โรงงานที่กลางดง โคราชหรือโรงงานแว๊กกาเบจ จ.ราชบุรี เป็นต้น กรมอนามัยจะอ้างทุกเวทีว่าไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของท้องถิ่น
ทั้งที่มีการตั้งกองกฎหมาย กองอนามัยฉุกเฉิน กองประเมินผลกระทบสุขภาพ กองอนามัยสิ่งแวดล้อม กองสุขาภิบาลอาหารและน้ำ เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เพียงแค่ให้สุขศึกษา จัดอีเว้นท์ที่เห็นก็มี street food good health จัดแล้วก็จบกันไป
4.จากการพูดคุยในวงวิชาการ พ.ร.บ. การสาธารณสุข 2535 ควรจะต้องได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุงซึ่งทำได้ 2 วิธีคือเพิ่มบทบาทให้กรมอนามัยต้องลงพื้นที่ไปจัด การแก้ไขปัญหาด้วยตนเองโดยให้ความช่วยเหลือท้องถิ่นอย่างเต็มที่ดังเช่น กรมควบคุมมลพิษ หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น รวมทั้งจะต้องเป็นผู้ดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุขร่วมกับท้องถิ่นแทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยด้วย ประเด็นที่ 2 อาจจะปรับเปลี่ยน พ.ร.บ.การสาธารณสุขเป็น พ.ร.บ.อนามัยสิ่งแวดล้อมและมอบให้กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ) กระทรวงมหาดไทยไปดูแลแทนเพราะสังกัดกระทรวงมหาดไทยเช่นเดียวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดูแลงบประมาณ และอัตรากำลังได้โดยตรง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี