หากพูดถึงความใฝ่ฝันของแต่ละครอบครัวก็จะมีความแตกต่างกันออกไป แต่ความใฝ่ฝันหนึ่งที่น่าจะเหมือนกันคือทุกครอบครัวอยากเห็นลูกขอตนเองได้รับการศึกษาที่ดีและสูงสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะทุกคนเชื่อมั่นว่าการศึกษาสูงจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและมั่นคง ซึ่งครอบครัว “กีรติชัยพันธ์” ก็มีความใฝ่ฝันเช่นนี้ที่อยากเห็น “น้องวุฒิ” หรือ ณัฐวุฒิ กีรติชัยพันธ์ เด็กพิเศษดาวน์ซินโดรม (Down Syndrome)มีการศึกษาที่ดีและมีคุณภาพ แต่การจะก้าวเข้าสู่และผ่านการศึกษาในแต่ละระดับชั้นไปให้ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครอบครัวที่มีน้องเป็นเด็กพิเศษ แต่ คุณพ่อจรุงเกียรติ กีรติชัยพันธ์และคุณแม่ภรณี เช้าเจริญประกิจ ก็ไม่ยอมแพ้ จับมือกันพาน้องวุฒิก้าวผ่านมาได้จนประสบความสำเร็จสามารถเรียนจบปริญญาตรี
และวันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงและเป็นอีกหนึ่งวันที่น้องวุฒิได้สร้างความภูมิใจและเป็นปลื้มให้แก่ครอบครัว รวมถึงตัวน้องวุฒิเอง นอกจากครอบครัวแล้วน้องวุฒิยังสร้างความสุขความประทับใจให้แก่ทุกคนที่คอยเป็นกำลังใจและสนับสนุนน้องมาตลอดด้วย โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา(มบส.) ที่เปิดโอกาสให้น้องวุฒิได้เข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในรั้วมหาวิทยาลัยจนได้รับใบปริญญาที่มาช่วยการันตีความรู้และความสามารถของน้อง และช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาน้องวุฒิได้เข้ารับปริญญาดุริยางคศาสตรบัณฑิต จากวิทยาลัยดนตรีตะวันตก มบส.แถมได้รับรางวัลบัณฑิตดีเด่น และเป็นบัณฑิตใหม่เป็นที่เรียบร้อย
ต้องยอมรับว่าก่อนที่น้องวุฒิจะประสบความสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งมาจากสถานศึกษาที่เปิดกว้างและยอมรับในตัวเด็กพิเศษ ซึ่ง มบส.ก็เป็นหนึ่งในสถาบันที่ใจกว้างเปิดรับน้องเข้ามาเรียนร่วมกับเพื่อนปกติทั่วไปได้ โดย ผศ.ดร.คณกร สว่างเจริญ อธิการบดี มบส. เปิดเผยว่า“ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องวุฒิและครอบครัวด้วยที่น้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนสำเร็จการศึกษา ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยทั้งหมดนี้ต้องขอชื่นชมคุณพ่อและคุณแม่น้องวุฒิที่รัก พยายามและสนับสนุนลูกชายจนมาถึงจุดนี้ได้ รวมถึงตัวน้องวุฒิที่มีความมุ่งมั่นและความพยายาม ที่สำคัญถือเป็นแบบอย่างให้แก่นักศึกษาคนอื่นด้วย”
ทั้งนี้ มบส.เปิดโอกาสให้เด็กทุกคน รวมถึงเด็กพิเศษที่อยากจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยต้องได้เข้าศึกษา รวมทั้งยังอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ด้วย ที่สำคัญมหาวิทยาลัยมีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)มาตลอด โดยเฉพาะเป้าหมายการสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม และสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย
จากความมุ่งมั่นของครอบครัว “กีรติชัยพันธ์” ทำให้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่าครอบครัวน้องวุฒิมีเทคนิคในการเลี้ยงดูน้องวุฒิอย่างไรทำให้น้องก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ต้องผ่านและฟันฝ่าอุปสรรคอะไรกันมาบ้าง และมีวิธีรับมือกับปัญหาอย่างไร โดย คุณแม่ภรณี ได้เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “น้องวุฒิเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว ตอนนี้น้องอายุ 24 ปีแล้ว ตนเองยังจำได้ดีตอนวินาทีที่รู้ว่าน้องวุฒิไม่ปกติเหมือนเด็กทั่วไป ครอบครัวจึงตั้งเป้าว่าจะไม่ปล่อยให้ลูกเป็นภาระสังคม ต้องพัฒนาให้น้องเหมือนเด็กปกติให้มากที่สุด โดยเฉพาะการเรียนซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากเราต้องช่วยน้องวุฒิอ่านออกเขียนได้ เพราะเป็นเรื่องจำเป็นในชีวิตประจำวัน ถ้าเด็กปกติได้เรียนอะไร น้องวุฒิก็ต้องได้เรียนเช่นกัน แม้ว่าการจะเข้าเรียนในแต่ละระดับชั้นของน้องวุฒิจะถูกโรงเรียนส่วนใหญ่ปฏิเสธก็ตาม และเป็นเรื่องที่ทำให้คุณแม่ต้องเสียน้ำตาตลอด แต่ก็ไม่รู้สึกท้อหรือเสียใจ เพราะเรานึกอยู่เสมอต้องทำเพื่อลูก”
คุณแม่ภรณี เล่าต่อว่า ช่วงอนุบาลจนถึง ป.1 น้องวุฒิเรียนที่โรงเรียนทานตะวัน ซึ่งระหว่างที่เรียน ป.1 กฤษฎา ยินดีสุข หรือ ครูตูน ได้สังเกตเห็นว่าน้องวุฒิสนใจดนตรีเป็นพิเศษ และน้องจะตีกลองได้วันละหลายชั่วโมง ทำให้ค้นพบว่าน้องวุฒิมีความสามารถทางด้านดนตรี โดยเฉพาะการตีกลอง ครูตูน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ รศ.ดร.สุกรี เจริญสุข อดีตคณบดีวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ชวนคุณพ่อคุณแม่ไปหาอาจารย์สุกรี ซึ่งท่านน่ารักมาก แนะนำการเล่นดนตรีให้น้องด้วย และเมื่อจบ ป.6 น้องได้ไปเรียนม.1-ม.3 ที่โรงเรียนวีรสุนทร ซึ่งเป็นช่วงที่หาโรงเรียนให้น้องยากมากๆ ต้องขอบคุณอาจารย์ปกรณ์ คงสุนทร เช่นกันที่ดูแลน้องเป็นอย่างดี และอาจารย์สุกรียังเปิดโอกาสให้น้องวุฒิเข้ามาเรียน ชั้น ม.4-6 ที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ม.มหิดลซึ่งระหว่างที่เรียนน้องได้มีโอกาสฝึกฝนทางด้านดนตรีต่างๆ อย่างเต็มที่ ซึ่งน้องวุฒิชอบมากทำให้สามารถเล่นดนตรีได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ไวโอลินเปียโน มาริมบ้า หรือระนาดฝรั่ง แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ การตีกลอง
สำหรับการเข้าเรียนต่อในรั้วมหาวิทยาลัย คุณแม่ภรณี บอกว่า กว่าจะหาที่เรียนได้ก็ยากสุดๆสุดท้ายอาจารย์สุกรี และ ผศ.ดร.สุดารัตน์ ชาญเลขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้น้องได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยและต้องขอบคุณมากๆ คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาที่มองเห็นคุณค่าของเด็กพิเศษอย่างน้องวุฒิ และให้โอกาสเข้ามาเรียน ทำให้น้องได้พบเห็นสิ่งดีๆ ได้เรียนรู้สังคมที่กว้างขึ้น รวมถึงทีมอาจารย์สำนักกิจการศึกษา มบส. ก็ดูแลและอำนวยความสะดวกให้น้องมาตลอด4 ปี แต่ช่วงนั้นก็เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พอดี ทำให้ครอบครัวเราต้องดูแลเรื่องการเรียนของน้องเป็นพิเศษ มีรายงานไหนต้องพิมพ์ส่ง เราก็จะพยายามให้น้องเขียนส่งอาจารย์ เพื่อเป็นการฝึกเขียน และจะได้รู้ว่าน้องทำรายงานเอง เป็นการเรียนที่หนักมาก แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยดี และเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
สำหรับแผนชีวิตของน้องวุฒิจากนี้ถึงเวลาที่น้องจะต้องฝึกทำงานจริงจัง ต้องมีอาชีพเป็นของตนเอง อาชีพที่เท่าเทียมกับคนปกติ หรือดีกว่า และสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองได้ด้วย ซึ่งการทำงานเพื่อจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตจริงและอยู่ร่วมกับสังคมให้ได้ ในเมื่อน้องชอบดนตรีและต้องการสร้างเสียงเพลงให้สังคมมีความสุข เราจึงฟันธงอาชีพของน้องวุฒิคือ “นักดนตรีเปิดหมวก” ครอบครัวปูเส้นทางอาชีพนี้ให้น้องมาตั้งแต่อายุ 10 ขวบด้วยการพาน้องไปดูนักดนตรีเปิดหมวก เพื่อซึมซับในอาชีพ ซึ่งน้องชอบมากอยากแสดงออก ยิ่งได้คำชมน้องดีใจมาก และเมื่อน้องชอบแม่ก็เริ่มพาน้องไปตีกลองเปิดหมวก ก็เห็นน้องมีความสุข และยังได้พบปะผู้คนมากมายยิ่งทำให้น้องได้ฝึกพัฒนาการด้านต่างๆ ด้วย หลายปีที่ผ่านมาเราออกไปนอกบ้านกัน 365 วัน แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะเหนื่อย แต่เมื่อเห็นน้องมีความสุขเราก็หายเหนื่อย ทั้งนี้ ถ้าไม่ติดงานอื่นๆ น้องจะออกมาเปิดหมวกอาทิตย์ละ 4-5 วัน โดยจะไปเปิดหมวกตามห้างสรรพสินค้า เช่น พาซิโอ กาญจนาภิเษก, เซ็นทรัล พระราม 3, มาบุญครอง, วิคตอเรีย การ์เด้นส์, เดอะ โฟร์ท นอกจากนี้ น้องวุฒิอยากช่วยสังคมเท่าที่จะมีโอกาส หรืออาจจะเรียนต่อถ้ามีคนให้โอกาสดีๆ หรือหน่วยงานใดมีงานให้น้องเราก็ยินดีมาก
“คุณพ่อและคุณแม่รักน้องวุฒิมากยิ่งน้องเป็นเด็กพิเศษ ต้องพยายามเลี้ยงดูและฝึกฝนพัฒนาการต่างๆ ให้น้องเหมือนคนปกติมากที่สุด เราต้องการความเท่าเทียมและเสมอภาคในสังคม แม่เสียใจที่หลายคนแค่ได้ยินว่าน้องเป็นเด็กพิเศษก็ก้มหน้าก้มตาปฏิเสธอยากให้มองเด็กก่อนว่าเค้าเป็นอย่างไร จะเรียนได้หรือไม่ ฝากครอบครัวที่มีลูกเหมือนน้องวุฒิ อย่าเก็บน้องไว้ในบ้าน อย่าทิ้งเขา ทุกคนก็มีหัวใจ 1 ดวงเท่ากัน เราควรให้ความรักและดูแลเขาเหมือนและเท่าเทียมกับคนปกติทั่วไป มันอาจจะยาก แต่ก็เป็นไปได้เหมือนน้องวุฒิ” คุณแม่ภรณีกล่าวและว่า น้องวุฒิทำให้ครอบครัวและตัวน้องเองประทับใจในหลายเรื่อง เช่น ล่าสุดน้องวุฒิยังได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัล “หม่อมงามจิตต์ บุรฉัตรบุคคลสำคัญของโลก” รางวัลสร้างเสริม คนดีมีคุณธรรม ประจำปี 2567 ประเภทคนพิการดีเด่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตทางสติปัญญา หรือช่วงที่เรียน ม.ต้น น้องได้เสื้อสูทเกียรติยศจากโรงเรียนวีรสุนทร ได้ขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่กับ พี่เป๊ก-ผลิตโชคอายนบุตร ที่พารากอน ฮอลล์ ตอนนั้นแสดง 3 รอบมีผู้ชมรอบละ 5 พันกว่าคน ได้ร่วมแสดงในงานเปิดหมวกนานาชาติเวิร์คพอยท์ นอกจากนี้ยังร่วมแสดงมินิคอนเสิร์ตกับพี่ศิลปิน เช่น ป้อมออโต้บาห์น, ติ๊ก กลิ่นสี, ชรัส เฟื่องอารมย์, วิยะดาโกมารกุล ที่ร้านออโต้บาห์น เพื่อนำเงินรายได้บริจาคให้ผู้พิการติดเตียง โดยงานนั้นได้เกือบ 200,000 บาท
สุดท้าย “น้องวุฒิ” ได้ฝากเป็นกำลังใจให้แก่ทุกครอบครัวที่มีลูก หรือพี่่ น้อง และญาติที่เป็นเด็กพิเศษว่า ถ้าน้องๆ ชอบทำอะไรเป็นพิเศษ ขอให้
ตั้งใจทำให้เต็มที่ รวมถึงผู้ที่กำลังหมดหวัง หรือท้อแท้กับชีวิต ขอให้สู้ๆ อย่าหมดกำลังใจและอย่ายอมแพ้นะครับ น้องวุฒิภูมิใจและดีใจที่เรียนจนจบปริญญา และภูมิใจที่สุดได้เกิดมาเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้น้องวุฒิในช่องทางต่างๆ ช่องยูทูป กด subscribeที่ Drummonte Offcial, Amazing Drum น้องวุฒิตีสุดใจ เฟซบุ๊ก Amazing Drum น้องวุฒิตีสุดใจ, Drummonte ติ๊กต็อก Drummonte.official หรือใครสนใจจ้างน้องมาแสดงความสามารถติดต่อได้ที่โทร.089-6646624
และนี่เป็นอีกครอบครัวเด็กพิเศษที่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้กับชีวิตและสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า ถ้าเรามีความพยายาม ทุกอย่างสามารถพัฒนาได้ เพียงแต่สังคมต้องเปิดกว้าง ให้โอกาส ยอมรับและให้ความเท่าเทียมกันกับเด็กกลุ่มนี้ด้วย เชื่อว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นความสามารถพิเศษ หรืออัจฉริยะจากดวงดาวพิเศษอีกหลายดวง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี