ชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าฯ กทม.

“ชัชชาติ” ย้ำไม่ต้องกังวล คนกรุง 99.9% ไม่กระทบน้ำท่วมแค่นอกเขื่อนริมเจ้าพระยา/เตรียมรับฝุ่น PM2.5 หลังฝนหมด

นายชัชชาติ สิทธิพันธ์ุ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกล่าวย้ำถึงสถานการณ์น้ำของกรุงเทพมหานครว่า สถานการณ์น้ำของ กทม.ยังไม่น่าเป็นห่วง น้ำที่ปล่อยมาจากเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ระดับ 2,000 ลบ.ม./วินาที ยังไม่วิกฤต ที่เห็นน้ำท่วมที่พระนครศรีอยุธยา และ นนทบุรี เป็นพื้นที่อยู่นอกเขื่อนกั้นน้ำ เมื่อน้ำขึ้นก็จะมีผลกระทบ ส่วนในพื้นที่กรุงเทพฯ เรามีเขื่อนกั้นน้ำตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยา ความยาว 88 กม. ความจุด้านเหนือสุดอยู่ที่ 3.50 ม. ระดับน้ำปัจจุบันต่ำกว่าเขื่อนอยู่ 1 ม. ก็ยังไม่น่าห่วงอะไร ที่ต้องเฝ้าระวังคือฝนในพื้นที่ซึ่งช่วงนี้ลดลงเนื่องจากร่องความกดอากาศไปอยู่ภาคใต้ กำลังจะเริ่มเข้าหน้าหนาวฝนจะซาลงแต่เราก็ไม่ประมาทเตรียมพร้อมรับมืออีกครั้งช่วงวันที่ 20 ต.ค. ที่จะมีน้ำทะเลหนุนสูงอีกครั้ง เชื่อว่าช่วงนั้นน้ำเหนือจะไม่เยอะและไม่มีน้ำฝนก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก ขอให้คนกรุงเทพฯ ไม่ต้องกังวล

พื้นที่นอกเขื่อนกั้นน้ำเป็นพื้นที่ท่วมซ้ำซากซึ่งเราไม่สามารถไปควบคุมน้ำได้ จะช่วยต่อสะพานไม่แจกกระสอบทรายทำทางเดินชั่วคราว ชุมชนที่ใหญ่สุด คือ ชุมชนโรงสี เขตยานนาวา เป็นชุมชนที่มีความคุ้นชินกับน้ำขึ้นน้ำลงอยู่แล้ว น้ำขึ้นวันละ 3 ชั่วโมง ก็ไปช่วยดูแล โดยชุมชนนอกคันกั้นน้ำมีรวม 731 หลังคาที่ท่วมประมาณ 100 หลังคาเรือน ข่าวที่ออกไปอาจมีบางส่วนสับสนเรื่องในหรือนอกคันกันน้ำ ขออย่าตื่นตระหนก เขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่อยู่นอกแนวเขื่อนก็ให้ระวังซึ่งมีน้อยมาก คนส่วนใหญ่ 99.9% ไม่มีผลกระทบ สำหรับแนวเขื่อนริมแม่น้ำเจ้าพระยามีจุดฟันหลอจุดที่มีปัญหา 120 จุด ทำไปแล้ว 64 จุดถาวร ที่เหลือต้องเจรจากับเอกชน หรือกำลังดำเนินโครงการอยู่ปีหน้า (2568) น่าจะเสร็จ จุดที่ทำไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเตรียมอุปกรณ์เคลื่อนที่ไปป้องกัน

นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ยังกล่าวเรื่องฝุ่น PM2.5 ด้วยว่าสถานการณ์ฝุ่นมีตัวเลขสูงขึ้นเนื่องจากสภาพอากาศช่วงนี้มีอากาศกดตัวลงทำให้อากาศถ่ายเทน้อย เป็นหนึ่งที่ทำให้ฝุ่นสูงขึ้น แม้ช่วงนี้จะยังไม่มีการเผาหรือกิจกรรมใดๆ เราก็มีมาตรการป้องกันอยู่ ที่เร่งทำคือเรื่องการเผาชีวมวลซึ่งจะมีมากช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. รวมถึงเรื่องมาตรฐานรถ การเปลี่ยนไส้กรอง น้ำมันเครื่อง เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ฝุ่นที่จะมาหลังฝนหมด

ทั้ง กทม. ได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 โดยจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปี 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานเกี่ยวข้องกวดขันบังคับใช้กฎหมายกับแหล่งกำเนิดฝุ่น ทั้งการเพิ่มความเข้มงวดตรวจวัดควันดำและขยายพื้นที่ตรวจวัดควันดำ เพื่อควบคุมตั้งแต่ต้นทาง พร้อมขอความร่วมมือให้บำรุงรักษาเครื่องยนต์ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน และควบคุมสถานประกอบการประกอบกิจการที่ก่อให้เกิดการฟุ้งกระจายของฝุ่น PM2.5 โดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดกลางและเล็ก อาทิ กิจการผสมซีเมนต์ กิจการหลอมโลหะ อู่พ่นสีรถยนต์ กิจกรรมผลิตธูป รวมถึงเรื่องการเผาในที่แจ้งด้วย