ปูพรมคน11จุด
บ้านคนสนิท‘18บอส’ดิไอคอน
ยึดรถหรูอีก5รวม35คัน
พาพยาน4ปากสอบเพิ่ม
ผู้เสียหายพุ่งเฉียด7พัน
“ผบ.ตร.” แถลงคืบหน้าคดี “ดิไอคอน”ลุยค้น 11 จุดของพนักงาน-คนใกล้ชิด 18 บอสผู้ต้องหา เร่งหาหลักฐานออกหมายจับลอต 2 ลั่นพบหลักฐานโยงถึงใคร เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินคดีเด็ดขาด ผลตรวจค้นยึดรถหรูเพิ่ม 4 คัน รวมยึดแล้ว 33 คัน พร้อมพา 4 พยานมาสอบอีก เผยมีผู้เสียหายมาแจ้งความแล้ว 6,979 คน มูลค่าเสียหายกว่า 2 พันล้าน อายัดทรัพย์เหล่าบอสแล้ว 400 ล้าน “กฤษอนงค์” โต้เรียกเงินผู้เสียหาย 20% แต่บางคนโอนมาให้เอง ลั่นไม่ได้ขอเงิน “บอสพอล” 10 ล้าน แต่จ่ายมาเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการ หลังแนะฟ้องเพจดัง อึ้ง บอสพอลซุกเครื่องอัดเสียงในแฮร์พีซ-เป้ากางเกง แบล็กเมล์
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 ตุลาคม ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมพล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. ร่วมเเถลงความคืบหน้าหลังเข้าประชุมติดตามความคืบหน้าคดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป
แจ้งความแล้ว6.9พันคน-เสียหาย2พันล.
โดยพล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า การเข้าแจ้งความตลอดช่วงเช้าวันนี้ ยังคงมีผู้เสียหายเดินทางมาเพื่อรับบัตรคิวเข้าแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความ บช.ก.แล้ว ประมาณ 50 คิว สำหรับยอดรวมผู้เสียหายทั่วประเทศ ที่เข้าแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสถานีตำรวจท้องที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10-21 ตุลาคม พบมีประชาชนเดินทางมาแจ้งความทั้งหมด 6,979 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,046 ล้านบาท ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน อยู่ในการควบคุมที่เรือนจำพิเศษ การสอบสวนขยายผลอยู่ระหว่างสอบสวนทั้งเรื่องเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์บัญชีการเงิน
ตร.ปูพรมค้น11จุด-เร่งเก็บหลักฐานล็อต2
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า วันนี้ตำรวจเข้าตรวจค้นทั้งหมด 11 จุด เป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะพนักงานและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน สำหรับหมายจับล็อตที่ 2 อยู่ระหว่างสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และจะเกี่ยวข้องกับ 11 จุดที่ไปตรวจหรือไม่ อยู่ที่พยานหลักฐาน หากพบหลักฐานชัดเจนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ยืนยันถ้าผลสอบสวนและหลักฐานพาดพิงถึงใคร ระดับใดต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด
ยังไม่พบชื่อเมียกันต์ในหมายจับล็อต2
ผู้สื่อข่าวถามว่าภรรยาของนายกันต์ กันตถาวร 1 ใน 18 บอสที่ถูกจับกุมมีรายชื่ออยู่ในหมายจับล็อตที่สองด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบในรายชื่อ และยังไม่พบเดินทางออกนอกประเทศทั้งนี้ จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คนหรือไม่นั้น อยู่ระหว่างสอบสวน ถ้าพบความผิดอื่นเพิ่ม ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป ส่วนการแยกระหว่างผู้เสียหายหรือผู้ต้องหานั้น ผู้เสียหายบางคนเมื่อสอบปากคำแล้วอาจพบว่าเป็นผู้ต้องหาภายหลัง ต้องถูกแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งหมดอยู่ในการวิเคราะห์คำให้การ อย่างไรก็ตามผู้เสียหายที่มาแสดงตัวก็ให้สิทธิเป็นผู้เสียหายก่อน คำให้การทั้งหมดต้องผ่านการวิเคราะห์พยานหลักฐานก่อน
บัตรปชช.ขึ้นเลข5เหตุแจ้งตกสำรวจ
ด้านพล.ต.ท.จิรภพกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเรื่องข้อมูลเลขบัตรประชาชนของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 นั้น เบื้องต้นได้ตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร พบเป็นการแจ้งตกหล่นในการสำรวจ และเพิ่มชื่อทีหลัง ยืนยันเป็นคนไทย ยังไม่พบเป็นต่างด้าว แต่ก็ต้องสืบสวนเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีจะมีกลุ่มผู้เสียหายไปร้องเรียนกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเรื่องพนักงานสอบสวนชี้นำ ทำให้เกิดความเสียหายเท็จขึ้นมา จะชี้แจงอย่างไร พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า เป็นความเข้าใจของบุคคลคนหนึ่ง แต่ยืนยันตำรวจทำงานหนักมาก การสอบสวนต้องรอบคอบรัดกุม ความผิดแต่ละประเภทจะมีองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย หากใช้ความรู้สึกแจ้งข้อกล่าวหา เราอาจตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาเองได้
เร่งสอบคลิปเสียงล่าคนมีเอี่ยวเพิ่ม
สำหรับเรื่องคลิปเสียงทั้งหมดขณะนี้ ผบ.ตร.เผยว่า มอบหมายให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. รับผิดชอบ ร่วมกับบก.ปปป. ซึ่งอยู่ระหว่างสอบสวนขยายผลหลักฐานทั้งหมดว่าเกี่ยวพันกับผู้ใดบ้าง ยังไม่เปิดเผย แต่บอกได้ว่าสอบปากคำบอสพอล และได้รับคำยืนยันว่าเสียงนั้นเป็นเสียงบอสพอลจริง ทั้งนี้ หากพบบุคคลใดมีหลักฐานชัดเจนและเป็นการทำความผิดต่อเจ้าพนักงานของรัฐหรือความผิดต่อแผ่นดิน ตำรวจไม่ละเว้นในการดำเนินคดีแน่นอน ส่วนกรณีมีกระแสข่าวว่านักร้องเรียนหญิงสนิทสนมกับตำรวจที่เชี่ยวชาญเรื่องแชร์ลูกโซ่นั้น ผบ.ตร.กล่าวว่า หากพบว่าเป็นตำรวจหรือไม่ว่าใคร สังกัดใด หากพบร่วมทำความผิดจะดำเนินคดีไม่มีละเว้น ยืนยันไม่กังวลและไม่หนักใจ
ยึดทรัพย์18บอสมาแล้วกว่า400ล.
ผู้สื่อข่าวถามถึงเงินที่บอสพอลโอนเข้าบัญชีพระผู้ใหญ่ 1 ล้านบาท ต้องอายัดมาตรวจสอบด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐระบุว่า ต้องดูว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ ต้องตรวจสอบรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบวงกว้าง แต่หากเงินดังกล่าวเป็นเงินต้องสงสัยก็สามารถอายัดได้ ตามกระบวนการสอบสวนและยึดอายัดทรัพย์อยู่แล้ว เบื้องต้น ตำรวจยึดทั้งอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์และทรัพย์สินอื่นๆของผู้ต้องหาทั้งหมดมาแล้วขณะนี้มากกว่า 400 ล้านบาท ส่วนที่มีข่าวผู้ต้องหาแปลงสกุลเงินดิจิทัลนั้น ตำรวจ บก.ปปป.สอบปากคำและตรวจสอบ ซึ่งอยากแจ้งให้ทราบว่า “บุคคลที่มีชื่อเสียงหรืออินฟลูเอนเซอร์ ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนนำข้อมูลมาเผยแพร่สู่สาธารณชน ทำให้ประชาชนไขว้เขวต่อข้อเท็จจริงว่าทำไมเจ้าหน้าที่รัฐถึงปล่อยให้มีการถ่ายโอนทรัพย์สินในรูปแบบคริปโท ซึ่งขณะนี้ตรวจสอบอยู่ ข้อเท็จจริงจะปรากฏเร็วๆนี้ แต่หากใครที่ให้ข้อมูลเท็จต่อสื่อสาธารณชน ต้องรับผิดชอบและถูกดำเนินคดี
เตือนย้ายทรัพย์สิน-ระวังฟอกเงิน
ถามต่อว่า บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จะเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงเว็บพนันออนไลน์หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐเผยว่า เบื้องต้นยังไม่พบความเชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์ ตนอยากเตือนพวกที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่พยายามยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน จะยิ่งทำให้ปรากฏพฤติการณ์ทำผิดทางคดีชัดเจน ยืนยันว่าจะทำคดีแล้วเสร็จทัน 48 วัน ตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
พล.ต.ต.โสภณกล่าวเสริมว่า จากที่มีข่าวว่ามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน ตำรวจเร่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด การกระทำลักษณะนี้อาจเข้าข่ายฟอกเงิน
ค้น11จุด-คุม2คนสนิทเข้าบช.ก.
เวลา 12.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังตำรวจเข้าตรวจค้น 11 จุด ที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัดในพื้นที่กรุงเทพกรุงเทพมหานคร 6 จุด จ.ปทุมธานี 4 จุด และนนทบุรี 1 จุด โดยตำรวจทยอยนำของกลาง อาทิ ฮาร์ดดิสก์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางอย่างมาตรวจสอบประกอบพยานหลักฐาน พร้อมกันนี้ ตำรวจยังคุมตัวบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นพนักงานบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด หรือคนสนิท 18 บอส มาสอบปากคำ 2 คน คาดว่าน่าจะเป็นหญิงทั้งสองราย รายแรกใส่เสื้อคลุมปกปิดใบหน้า คนที่สองใส่แมสก์ และสวมแว่นดำ ก่อนที่ตำรวจจะควบคุมตัวไปสอบปากคำ ทั้งนี้ ตำรวจให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าของกลาง และพนักงานคนดังกล่าวเป็นหนึ่งใน 11 จุดที่ตำรวจเข้าตรวจค้นช่วงเช้าที่บ้านพักพนักงานย่านมีนบุรี โดยตลอดทั้งวันเจ้าหน้าที่นำของกลางที่ยึดได้จากจุดอื่นมาที่บช.ก.เพื่อตรวจสอบต่อเนื่อง
ยึดรถหรูเพิ่มอัก4รวมยึดมาแล้ว33คัน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตำรวจทยอยนำรถหรูจากคดีดิไอคอน กรุ๊ป เข้ามาจอดหน้าอาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยรถที่นำมาทั้ง 4 คัน ประกอบด้วย 1.BMW 220i สีขาว ทะเบียน ธล 5999 กรุงเทพมหานคร ซึ่งบริเวณเบาะนั่งข้างคนขับ มีกระดาษเขียนข้อความว่า “บอสทุกคน สู้ๆ ขอเป็นกำลังใจให้” 2.Mercedes Benz SLK 200 สีขาว ทะเบียน 7กษ 8852 กรุงเทพมหานคร 3.Mercedes Benz SLK AMG สีเขียว ทะเบียน 5กย 7028 กรุงเทพมหานคร ด้านหลังรถมีโลโก้ของดิ ไอคอน เขียนว่า Exclusive Car Club 4.Mercedes Benz SLK 200 สีดำ ทะเบียน 8กณ 4585 กรุงเทพมหานคร มีกระดาษที่เจ้าหน้าที่ระบุ เป็นรถยนต์ของกลาง ดิไอคอน กรุ๊ป ที่ตำรวจกำลังขยายผลตรวจสอบเพิ่ม ภาพรวมขณะนี้ยึดมาได้แล้ว 33 คัน
ค้นเป้าหมาย11จุดโยง18บอส
ต่อมามีรายงานว่า เป้าหมาย 11 จุด ที่ทีมสืบสวนกองบังคับการปราบปราม นำกำลังเข้าตรวจค้นหลักฐานทางคดีเพิ่มเติมนั้น ส่วนใหญ่เป็นบ้านพักของคนใกล้ตัว หรือผู้ที่อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ต้องหาคดีดิไอคอนกรุ๊ปฯ ล๊อตแรก โดยเป้าหมายจุดแรกคือ บ้านเลขที่ 345/259 หมู่บ้าน สิริเพลส ราชพฤกษ์ ถ.345 ต.บางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี จุดที่ 2 คือ บ้านเลขที่ 221 ม.2 ช.สามัคคี 25 ต.ท่าทราย อ.เมืองนนทบุรี จุดที่ 3บ้านเลขที่ 2/92 หมู่บ้านพฤกษาวิลล์ 37 ช.เพิ่มสิน34 ถ.เพิ่มสิน คลองถนน กรุงเทพ จุดที่ 4 บ้านเลขที่ 165/6 เนอวานา @work. ถ.รามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน จุดที่ 5 บ้านเลขที่ 165/24 ถนนรามอินทรา แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน
จุดที่ 6 บ้านเลขที่ 2/61 โครงการ JSP City ชอยรังสิด-นครนายก 34/1 ด.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จุดที่ 7 บ้านเลขที่ 119/47 ซอยรังสิต-นครนายก 23 ถนนรังสิตนครนายก ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี จุดที่ 8 บ้านเลขที่ 45/10 เซ็นจูรี่ปาร์คคอนโด ชอยวิภาวดีรังสิด 42 ถนนวิภาวดีรังสีด แขวงจอมพล เขตจตุจักร จุดที่ 9 บ้านเลขที่ 229/125 ห้อง 0909 ซิลค์เพลส (หลักสี่) ถ.พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน จุดที่ 10 บ้านเลขที่ 91/261 หมู่บ้านแกรนฟิโน่ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และจุดที่ 11 คือ บริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป เลขที่ 165/42-46 แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพ
พาพยาน4สาวดิไอคอนสอบเพิ่ม
นอกจากนี้ ตำรวจสอบสวนกลางนำตัวหญิง 4 ราย ซึ่งเป็นพยานในคดี ดิไอคอนกรุ๊ปเข้ามาด้วย กัด โดยพยานทั้งหมดมีสีหน้าท่าทางที่เรียบเฉย ถึงแม้ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามประเด็นต่างๆ แต่พยานทั้งหมดไม่ตอบ ซึ่งขณะนี้มีผู้เกี่ยวข้องคดีดังกล่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบอยู่ทั้งหมด 12 คน
ย้าย18บอสไปแดนพิจารณาคดี
วันเดียวกัน ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผู้อำนวยการกองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์เผยถึงกระบวนการหลังผู้ต้องหากักโรคครบ 5 วันแล้วว่า จากนี้จะนำตัวผู้ต้องขังทั้งหมดย้ายไปอยู่แดนระหว่างพิจารณาคดี สุขภาพของผู้ต้องขังหญิงคดีนี้ ไม่มีอะไรน่าห่วง มีบางคนที่ต้องพบแพทย์ด้วยอาการเล็กน้อย เช่น ตาแห้ง มีไข้เล็กน้อย ส่วนบอสมิน ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ เรื่องความเครียดสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น แต่ไม่ถึงกับปกติทั้งหมด ต้องใช้เวลาปรับตัว ระหว่างนี้ทนายความเข้ามาเยี่ยมได้ทุกวัน โดยไม่จำกัดเวลา ส่วนญาติเข้าเยี่ยมได้วันละ 1 ครั้งๆละ 15-20 นาที หรือจองเยี่ยมญาติออนไลน์ผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ได้เดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งวันนี้ก็มีญาติ 3 คนติดต่อเข้ามาเยี่ยมผู้ต้องขัง แต่ขอไม่แจ้งว่าเป็นใครเพราะจะกระทบสิทธิ์ผู้ต้องขัง โดยคนที่ติดต่อเข้ามาเยี่ยมเป็นพ่อแม่หรือคนใกล้ชิด สำหรับการดูแลผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดีนั้น ต่างกับการดูแลผู้ต้องขังเด็ดขาด ทั้งเรื่องกายภาพจะแยกกันอยู่ ไม่ปนกัน และผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีผู้หญิงไว้ผมยาวได้ แต่ให้มัดรวบให้เรียบร้อย หรือตัดผมก็ได้ และมีสิทธิ์พบทนายความเพื่อเตรียมต่อสู้คดีได้เต็มที่
เปิดให้ญาติบอสชายเยี่ยมได้24ตค.
นางกนกวรรณกล่าวต่อว่า ส่วนผู้ต้องขังชาย เท่าที่ประสานเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทราบว่าคนที่ป่วย เช่น บอสวิน เป็นมะเร็ง จะได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ต่อเนื่อง ส่วนต้องย้ายไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ส่วนบอสชายทั้งหมด เนื่องจากมีบอสพอลเข้ามาทีหลัง ทำให้มีการพูดคุยกับบอสทั้งหมดยินดีกักโรคเพิ่มอีก 1 วัน ส่วนกำหนดเริ่มเข้าเยี่ยมวันแรกได้วันที่ 24 ตุลาคม หลังกักโรคครบแล้วก็จะกระจายไปแดนต่างๆสำหรับผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งบอสชายทั้ง 11 คน จะไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งหมด เพราะจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กัน จึงต้องแยกแดน
ยันบอสกันต์อาการปกติแค่ตาแห้ง
ส่วนสภาพจิตใจของนายกันต์ กันตถาวร หรือ บอสกันต์นั้น นางกนกวรรณเผยว่า สภาพจิตใจของกันต์ยังปกติ ไม่มีอาการแย่ลง ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ แต่ต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเรือนจำ มีการขอพบแพทย์ และขอใบสั่งยาน้ำตาเทียม เนื่องจากตาแห้ง แต่ไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติม เช่นเดียวกับผู้ต้องขังคนอื่นก็ไม่ร้องขออะไรเพิ่ม
“กฤษอนงค์”รู้จักบอสพอลแต่ไม่สนิท
อีกด้านหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวจากกรณี มีรายงานข่าวระบุนักร้องเรียนหญิง ผู้เชี่ยวชาญด้านแชร์ ตบทรัพย์จากบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป 10 ล้านบาท ซึ่งนางสาวกฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจต้านโกง ที่ถูกโยงถึงเรื่องนี้ ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง พร้อมให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส โดยยืนยันว่ารู้จักบอสพอล เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ไม่สนิท พร้อมชี้แจงกรณีรวบรวมผู้เสียหาย 89 คน ที่ได้รับจากบริษัท ดิ ไอคอนและมาขอความช่วยเหลือกับตน ตนก็ได้รวบรวมผู้เสียหาย และประสานบอสพอล ทำเอกสารเงื่อนไขเยียวยาเพื่อป้องกันว่าเราไปเรียกตบทรัพย์ แต่ก็ยังไม่ได้เงินคืน
โต้เรียก20%ชี้ผู้เสียหายโอนมาให้เอง
ส่วนกรณีมีคนออกมาระบุว่า ตนเรียกรับเงินจากผู้เสียหาย 20% นั้น นางสาวกฤษอนงค์ชี้แจงว่า ตนยกตัวอย่างคดี 2 แบบ ว่ามีทั้งคดีธุรกิจทั่วไป ที่อาจจะมี 20-40% เป็นเรื่องทนายความ ส่วนคดีช่วยเหลือนั้นไม่มีการเรียกเงินจากผู้เสียหาย และยืนยันว่าไม่ได้พูดว่าขอเงิน 20% แต่มีประมาณ 20 เคส จาก 89 คน ที่โอนมาให้ตนหลังได้รับเงินคืนแล้ว ซึ่งตนก็ไม่เคยรู้ตัวเลขเลย เพราะเขาโอนเข้ากองทุนฯ
ปัดเรียก10ล.บอสพอล-แค่คืนค่าใช้จ่าย
นางสาวกฤษอนงค์ยังปฎิเสธ กรณีมีข่าวว่าประสานบอสพอลแล้วมีการเรียกเงินอีก 10 ล้านบาทนั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่เป็นเงินที่ผู้เสียหายได้รับไป ซึ่งเราเสนอบริษัทไป 15 ล้านบาท และอีกรอบ 5 ล้านบาท แต่บริษัทจ่ายให้ผู้เสียหายจริง 8.3 ล้านบาท ยืนยันว่าตนไม่ได้เรียกเงินจากบอสพอล แต่เขาให้ เพราะตนออกค่าใช้จ่ายไปก่อน เขาให้เป็นค่าใช้จ่ายอื่น โดยโอนมา 4.5 แสนบาท และมีเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง เป็นเงินในส่วนค่าใช้จ่าย ส่วนที่มีคลิปอ้างนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งนั้น นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า อดีตสามีตนเป็นตำรวจ และเป็นอดีตตำรวจที่อยู่ในปคบ. ซึ่งที่อ้างว่านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตนไม่ได้อ้าง แต่ท่านให้ความคิดเห็นคดีนี้กับอดีตสามีตน แต่ตนไม่ได้อ้างว่ารู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนดังกล่าว ถ้าตนเข้าใจผิดต้องขอโทษ เพราะตนฟังมาจากอดีตสามี ส่วนกรณีถูกมองว่าตอนแรกอยู่ฝั่งผู้เสียหายแต่ตอนหลังไปสนิทกับบอสพอลนั้น นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า ตนรู้จักกับบอสพอลก่อนผู้เสียหาย หากตนไม่รู้จักบอสพอลผู้เสียหายจะมาหาตนไหม ผู้เสียหายจะได้เงินหรือไม่ ยืนยันว่าบอสพอลไม่ได้จัดงานวันเกิดให้ แต่บอสพอลไปงานวันเกิดตน ซึ่งตนจัดเลี้ยงเจ้าหน้าที่ในสำนักงานของตน
อึ้งบอสพอลชุกอัดเสียงเป้ากางเกง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตอนหนึ่งพิธีกรรายการบอกกับนางสาวกฤษอนงค์ว่า การพูดคุยกับบอสพอลครั้งหนึ่ง บอสพอลได้แอบอัดเสียงการพูดคุย โดยไม่ได้ใช้มือถือ แต่ติดเครื่องอัดเสียงใส่ไว้กับแฮร์พีช และในเป้ากางเกง โดยคลิปเสียงเต็มยาวกว่า 7 ชม. นอกจากนั้นยังมีบุคคลหนึ่งที่อ้างงว่าเป็นหนอนของ บอสพอล ที่เคยถูกส่งไปแฝงตัวกับกลุ่มผู้เสียหายกลุ่มแรกที่นางสาวกฤษอนงค์รับช่วยเหลือ โดยบุคคลดังกล่าว บอกว่า ตอนที่แฝงตัวเป็นผู้เสียหาย นางสาวกฤษอนงค์บอกกับผู้เสียหายตอนหนึ่งว่า บอสพอลระวังสุด และกลัวว่านางสาวกฤษอนงค์จะทำชุดที่ 2, 3, 4 ต่อ ซึ่งตอนนั้นก็รู้สึกว่าทำไมต้องมีการดูแลผู้เสียหายชุดอื่นต่อ เพราะคิดว่าน่าจะจบที่ผู้เสียหายชุดนี้หากมีการดูแลผู้เสียแล้ว หลังจากบอสพอลรู้เรื่องสุดท้ายก็มีการประสานกับภรรยาเก่า มาเป็นตัวกลางเจรจา และไปคุยกับนางสาวกฤษอนงค์ที่บ้าน โดยมีการติดเครื่องดักฟังไว้ในแฮร์พีช และเป้ากางเกง ซึ่งตอนนั้นบอสพอลมองว่านางสาวกฤษอนงค์ช่วยเหลือดี และรับปากจะประสานผู้เสียหาย และเคลียร์ผู้เสียหายตัวตึงให้ โดยขอรับเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งมีแชทยืนยันโดยเป็นแชทจากภรรยาเก่าของบอสพอล เรื่องนี้นางสาวกฤษอนงค์ ชี้แจงว่า เงิน 2 ล้าน เป็นการเคลียร์ผู้เสียหายกลุ่มแรก 17 คน ซึ่งอยู่ในเงิน 8.3 ล้านที่บริษัทจ่ายให้ผู้เสียหาย 89 คนด้วย
แจงเงิน3แสนค่าดำเนินการตามกม.
นางสาวกฤษอนงค์ยังชี้แจงว่า เรื่องเงิน 3 แสน เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งตนและทนายได้แนะนำให้บอสพอลทำตามข้อกฎหมายที่เรามีความรู้ เพราะตอนนั้นบอสพอลรู้สึกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด รู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาท ส่วนกรณีที่เขาเสนอให้ผู้เสียหายทั้งหมดมาร้องที่ตนนั้น เพราะตอนที่ตนดูแลผู้เสียหาย 89 คนดูแลได้ และตนเข้าใจธุรกิจขายตรง เข้าใจความเสียหาย ถ้ามาร้องที่ตนจะได้เกิดเยียวยาเบื้องต้น แต่ตนก็เสนอว่าต้องหาคนกลางจึงพาไปที่ สคบ.เพื่อเยียวยาผู้เสียหายให้เจ้าหน้าที่เป็นคนกลางแทนตน เพราะผู้เสียหายเยอะจนสำนักงานตนจะรับไม่ไหว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี