ป.ป.ส. จับแก๊งค้าเฮโรอีนข้ามชาติ ล็อตใหญ่ 154 กก. (440 แท่ง) พร้อมยึดทรัพย์ 7.6 ล้านบาทกำลังลำเลียงลงใต้ ปลายทางไต้หวัน พบพฤติการณ์ดัดแปลงเบาะรถตู้นำเที่ยวซุกยาเสพติดตบตาเจ้าหน้าที่
วันที่ 23 ตุลาคม 2567 ที่ศูนย์ปฏิบัติการ ป.ป.ส. อาคาร 2 ชั้น 4 สำนักงาน ป.ป.ส.(ดินแดง) กรุงเทพฯ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. ร่วมกับ น.อ.วิสูตร งิ้วแหลม รองผู้บังคับการทหารอากาศดอนเมือง กองทัพอากาศ นายโชติพันธ์ จุลเพชร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปรามยาเสพติด สำนักปราบปรามยาเสพติด พล.ร.ท.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล รองเสนาธิการทหารเรือ (สายงานยุทธการ) ทหารเรือ และ พล.ต.ธีรนันท์ นันทขว้าง ผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองทางทหาร กองทัพบก ร่วมกันแถลงผลการสกัดกั้นการค้ายาเสพติดเครือข่ายข้ามชาติ จับกุมเฮโรอีนล็อตใหญ่กว่า 440 แท่ง หรือ 154 กิโลกรัม และยึดอายัดทรัพย์สินกว่า 7.6 ล้านบาท
โดย พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า การจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. ร่วมกับหน่วยข่าวกรองทางทหาร (ขกท.) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ (นสร.) และกรมทหารสารวัตรทหารอากาศ (สห.ทอ.) สืบสวนเครือข่ายการค้ายาเสพติดข้ามชาติ ตรวจยึดไอซ์ 300 กก. ในพื้นที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี สืบสวนขยายผลผู้รับยาเสพติดปลายทางพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทราบว่ายาเสพติดเตรียมลำเลียงออกไปยังปลายทางประเทศที่สาม ตนจึงสั่งการไปยังนายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด ให้ติดตามขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายยาเสพติดกับหน่วยงานระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด
กระทั่งช่วงค่ำวันที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. สืบสวนทราบว่าขบวนการลำเลียงยาเสพติดใช้รถตู้นำเที่ยวซุกซ่อนยาเสพติดจากพื้นที่ภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่พื้นที่ภาคกลาง จึงประสาน ปปส.ภ.7 สห.ทอ. นสร. และ ขกท. บูรณาการกำลังเพื่อปฏิบัติการสืบสวนติดตาม ต่อมาวันที่ 22 ต.ค. เวลาประมาณ 12.30 น. ชุดปฏิบัติการพบรถตู้เป้าหมายที่สถานีบริการน้ำมันในพื้นที่ จ.ชัยนาท จึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น และผลการตรวจค้นพบเฮโรอีน 154 กิโลกรัม (440 แท่ง) พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย คือ นายวสันต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี และนายณัธวัช (สงวนนามสกุล) อายุ 47 ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขยายผลการสืบสวน สามารถจับกุมผู้สั่งการได้อีก 1 ราย เป็นหญิงชาว จ.สุพรรณบุรี ชื่อ นางสุมาลี อายุ 62 ปี (สงวนนามสกุล) พร้อมตรวจค้นที่พักอาศัยและโกดัง รวม 3 แห่ง ผลการตรวจค้นไม่พบยาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดทรัพย์สิน เป็นรถยนต์ 10 คัน เงินสด 50,000 บาท ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ พระเครื่อง โฉนดที่ดิน รวมมูลค่าประมาณ 7.6 ล้านบาท
พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ กล่าวอีกว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาให้การอ้างว่า เฮโรอีนดังกล่าวเตรียมลำเลียงไปส่งให้บุคคลในเครือข่าย เพื่อดำเนินการส่งต่อไปยังไต้หวัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่นายปฤณ เมฆานันท์ ผอ.สำนักปราบปรามยาเสพติด พร้อมคณะ ได้เข้าร่วมประชุมกับกรมสอบสวน กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน (Ministry of Justice, Investigation Bureau: MIB) เกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ไทย - ไต้หวัน ระหว่างวันที่ 21 - 24 ต.ค.67 โดยได้หารือเกี่ยวกับนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศที่มีความเคลื่อนไหวและแสวงหาแนวทางการปราบปรามกลุ่มนักค้ายาเสพติดร่วม โดยในที่ประชุมได้มีข้อมูลว่าเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวไต้หวัน สั่งเฮโรอีนกว่า 100 กิโล กรัมจากไทยเตรียมลักลอบนำเข้าไต้หวัน ในช่วงปลายเดือน ต.ค. และสอดคล้องกับข้อมูลการจับกุมเฮโรอีนคดีดังกล่าว จึงถือเป็นการสกัดกั้นยาเสพติดก่อนที่จะถูกลักลอบส่งไปยังประเทศที่สาม โดยใช้ไทยเป็นทางผ่าน
“ต้องยอมรับว่าประเทศไทยคือประเทศทางผ่านของการลำเลียงยาเสพติด และส่วนใหญ่มักจะพบไอซ์ เฮโรอีน ที่ถูกลำเลียงส่งประเทศปลายทางอย่างไต้หวัน ฮ่องกง ฯลฯ แม้จะไม่มีประเทศใดปลอดยาเสพติด 100% แต่ไทยสามารถที่จะควบคุมได้ โดยการควบคุมการแพร่ระบาดของไอซ์และเฮโรอีนได้ ด้วยการสกัดกั้นจับกุมระหว่างทางก่อนที่ยาเสพติดจะถูกส่งออกไป ทั้งนี้ สาเหตุที่ไทยถูกใช้เป็นทางผ่าน ก็เนื่องมาจากระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย และไทยยังมีเส้นทางลำเลียงยิบย่อยจำนวนมาก” เลขาธิการ ป.ป.ส. ระบุปิดท้าย.
ด้านนายโชติพันธ์ จุลเพชร ผู้เชี่ยวชาญด้านการปราบปรามยาเสพติด สำนักปราบปรามยาเสพติด เผยว่า เราได้มีการสืบสวนร่วมกับหน่วยข่าวกรองของต่างประเทศและหน่วยข่าวกรองในประเทศ ทั้งกองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ ทราบว่ากลุ่มผู้ลำเลียงจะมีการไปรับยาเสพติดที่ จ.เชียงราย ซึ่งเราได้จัดชุดปฏิบัติการเฝ้าติดตาม พบว่ากลุ่มลำเลียงมีการใช้รถตู้โดยสารนำเที่ยวเพื่ออำพรางตบตาเจ้าหน้าที่ และเจ้าหน้าที่ได้สะกดรอยจนมาถึง จ.ชัยนาท มั่นใจว่ามียาเสพติดในรถตู้แน่นอน จึงได้เข้าแสดงตัวทำการจับกุมผู้ต้องหาชาย 2 ราย เป็นชาว จ.สุพรรณบุรี (นายวสันต์ และนายณัธวัช) ก่อนขยายผลไปยังผู้สั่งการหญิง (นางสุมาลี) ชาว จ.สุพรรณบุรี เช่นเดียวกัน ชุดปฏิบัติการทั้ง 4 หน่วยจึงสนธิกำลังเข้าตรวจค้น 4 จุด โดยเฉพาะจุดพื้นที่ของผู้สั่งการ (นางสุมาลี) ตรวจยึดทรัพย์สินได้จำนวนมาก อาทิ รถกระบะ 9 คัน และยังมีการไปตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายอีก 3 จุด ซึ่งเป็นพื้นที่ของผู้ต้องหาและญาติผู้ต้องหา การดำเนินการครั้งนี้ จึงได้ข้อสรุปว่าผู้ต้องเตรียมลำเลียงเฮโรอีนไปยังภาคใต้ ก่อนจะส่งไปยังไต้หวันผ่านการขนส่งทางเรือ ซึ่งเครือข่ายนี้เคยมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 1 ครั้ง
นายโชติพันธ์ เผยอีกว่า สำหรับคนขับรถตู้นำเที่ยวทั้ง 2 รายที่ถูกจับกุมขณะลำเลียงเฮโรอีนนั้น ปกติแล้วมีสถานะเป็นมือขน หรือนักบิน มีการทำเกี่ยวกับการลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาหลายครั้ง เราได้เฝ้าติดตามพฤติกรรม เพื่อจะได้เข้าจับกุมตัวพร้อมของกลาง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหาชายทั้ง 2 รายนี้กับผู้สั่งการหญิง ชาว จ.สุพรรณบุรี ซึ่งทั้งหมดเป็นคนจังหวัดเดียวกัน เบื้องต้นยังไม่พบว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางลำดับญาติ เป็นเพียงผู้รับจ้างกับผู้สั่งการเท่านั้น อีกทั้งรายงานประวัติอาชญากรรมที่ผ่านมาพบว่าหนึ่งในเครือข่ายนี้เคยต้องโทษจำคุกในคดียาเสพติดมาแล้วในปี 2542 และพ้นโทษ ส่วนฝั่งผู้สั่งการพบว่าเคยมีประวัติจะถูกจับกุมในคดียสเสพติด
นายโชติพันธ์ เผยต่อว่า สำหรับกรณีของผู้สั่งการรายดังกล่าว เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสอบปากคำขยายผลว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังสั่งการหญิงรายนี้อีกทอดหนึ่ง และผู้สั่งการหญิงรายนี้ โดยปกติแล้วประกอบกิจการเกี่ยวกับรถตู้นำเที่ยวหลายคัน รวมถึงรถกระบะด้วย แต่เป็นการทำบังหน้า เพราะเธอทำเกี่ยวกับยาเสพติด มีการดัดแปลงเบาะที่นั่งในห้องโดยสารเพื่อซุกซ่อนยาเสพติดโดยเฉพาะ ด้วยการทำให้เบาะสามารถเปิดขึ้นได้ และยัดยาเสพติดไว้ภายใน และเวลาขนลำเลียง รถตู้นำเที่ยวก็มีการเปิดม่านวิ่งปกติ เพื่ออำพรางว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ อย่างไรเราจะขยายผลต่อไปว่าเครือข่ายนี้มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี