DSI รับ‘ดิไอคอน’เป็น‘คดีพิเศษ’ ปมฟอกเงินอาญา เตรียมเข้าเรือนจำแจ้งข้อหา 18 บอสเร็วๆนี้ แย้มขยายผลเส้นเงิน-ธุรกรรมเครือญาติและคนใกล้ชิดทั้งหมด ด้านโฆษกปปง.ยัน DSI ทำงานไม่ซ้ำซ้อนตำรวจ เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
24 ตุลาคม 2567 ที่ห้องรับรองกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชั้น 2 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (อาคารเอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมายและโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ นายอัษฎาวุธ ศรีปิตา ผู้ช่วยโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมแถลงข่าวการรับกรณีบริษัท The iCON Group เป็นคดีพิเศษ (เลขที่ 115/2567)
พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตั้งคณะพนักงานสืบสวน เพื่อดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เพื่อพิจารณารายละเอียดว่าเข้าลักษณะการกระทำความผิดที่อยู่ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และประกาศคณะกรรมการ กคพ. ได้กำหนดไว้ให้รับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งจากการสืบสวนพบสาระสำคัญ ดังนี้ 1.พบการกระทำความผิดอาญามูลฐานฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน มาตรา 3 อนุ 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 2.พบทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาจากการกระทำความผิด มีมูลค่าเกิน 300 ล้านบาท ซึ่งเข้าหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามประกาศ กคพ. ฉบับที่ 8 ที่กำหนดให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รับไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเฉพาะความผิดอาญาฐานฟอกเงินเท่านั้น ส่วนความผิดอื่นยังอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินเป็นกรณีที่ต่างกรรมต่างวาระ สอบสวนคนละกรรมกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ทำให้พนักงานสอบสวนเดิมก็ทำหน้าที่พิสูจน์เรื่องการฉ้อโกงประชาชนต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญา
ส่วนดีเอสไอก็สอบสวนเรื่องการฟอกเงินทางอาญาแทน โดยจะเป็นการดำเนินคดีกับผู้ที่โอน หรือรับโอนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือมีการได้มา หรือครอบครอง หรือใช้ประโยชน์ทรัพย์นั้น โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน ฐานฉ้อโกงประชาชน ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. จะดำเนินการในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งทรัพย์สินที่ดีเอสไอได้ตรวจยึดและอายัดไว้นั้นจะมีการแจ้งให้กับสำนักงาน ปปง. ได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า สำหรับทรัพย์สินที่ดีเอสไอได้มีการตรวจยึดและอายัดไว้นั้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ที่ดิน 3 แปลง 68 ไร่เศษ ที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี กลุ่มที่สอง คือ ทรัพย์สินที่เป็นที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด รวมทั้งอาคารสิ่งปลูกสร้าง จำนวนหลายแปลง และกลุ่มสาม คือ ทรัพย์สินที่ไปตรวจยึดจากห้องเช่าในพื้นที่ซอยรามอินทรา อาทิ นาฬิกา และกระเป๋าแบรนด์เนม ขณะนี้อยู่ระหว่างส่งให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจสอบว่าเป็นของแท้หรือของปลอม ตามที่มีการตั้งข้อสังเกต
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า การดำเนินการสืบสวนสอบสวนความผิดอาญาฐานฟอกเงินจะมีการร่วมกันทำงานของหลายกองคดี สำหรับในกรณีที่ทางตำรวจได้มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้ง 18 รายอยู่แล้วนั้น เชื่อว่ากลุ่มนี้ก็มีความผิดและมีพฤติการณ์การโอนและรับโอนทรัพย์สินและครอบครองทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ทำให้ทั้งหมดจะต้องถูกแจ้งข้อหาฟอกเงินทางอาญาในเร็ว ๆ นี้ แต่ต้องเกิดจากการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนก่อน และยังมีบุคคลอื่นที่เป็นแถวสองแถวสามอีกที่เราจะขยายผลดำเนินคดี เพราะมีเจตนาปกปิด อำพราง หรือรับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่มาจากการกระทำความผิด อย่างไรก็ตาม สำนวนคดีฐานฉ้อโกงประชาชนที่ตำรวจทำจะยังไม่ต้องโอนมาที่ดีเอสไอ ไม่ซ้ำซ้อนทับซ้อนกันแน่นอน เว้นแต่ว่าทางตำรวจพบความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งเป็นกรณีแชร์ลูกโซ่ ทางตำรวจจะต้องแจ้งมายังดีเอสไอ เพื่อท้ายสุดจะได้โอนสำนวนคดี ผลการสอบปากคำผู้เสียหาย ผลการสอบปากคำผู้ต้องหามาให้ดีเอสไอดำเนินการแทน ตามประกาศของ กคพ. ทั้งนี้ ปัจจุบันนี้ความยังไม่ปรากฏว่าเป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวถึงขอบเขตประชากรที่ดีเอสไอจะเข้าไปขยายผลตรวจสอบเรื่องการฟอกเงินทางอาญาว่าจะเป็นเครือญาติใกล้ชิด 18 ผู้ต้องหา หรือบรรดาแม่ทีมแม่ข่าย ว่า เรายังไม่ได้ตั้งกลุ่มเป้าหมาย แต่เน้นการดูเรื่องพยานหลักฐานก่อนว่าถ้าพิสูจน์ได้ว่าเป็นการโอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไปยังบุคคลใด หรือส่งต่อกี่ทอด ถ้าพิสูจน์ได้ก็จะเข้าข่ายความผิดทั้งหมด รวมไปถึงบุคคลที่เคยมีเส้นทางการเงิน การทำธุรกรรมทางการเงินกับ 18 ผู้ต้องหา ดีเอสไอจะตรวจสอบหมด และจะประสานขอรายการเดินบัญชีย้อนหลังกับสถาบันการเงินการธนาคารด้วย
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวเพิ่มเติมถึงรายการทรัพย์สินที่ดีเอสไอสามารถตรวจยึดและอายัดในปัจจุบัน ว่า ที่ดิน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 3 แปลง มูลค่าราคาซื้อขายประมาณ 300 ล้านบาท ที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร 13 แปลง ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด 5 แปลง และยังมีสิ่งปลูกสร้างที่เขตบางเขน ราคาประเมินกว่า 10 ล้านบาท และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ที่เขตบางเขน อีก 3 แปลง ราคาประเมิน 6.5 ล้านบาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ชื่อระบุนายวรัตน์พล (บอสพอล) 5 แปลง แบ่งเป็นในเขตบางเขน 1 แปลง เขตบึงกุ่ม 1 แปลง เขตบางกะปิ 1 แปลง และเขตลาดพร้าว 2 แปลง รวมราคาประเมิน 43 ล้านกว่าบาท ซึ่งถ้าคิดราคาซื้อขายจากกรมที่ดินก็จะขึ้นไปอีกสามเท่า รวมมูลค่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้างจะประมาณร้อยล้านบาท แต่ถ้าไปรวมกับที่ตำรวจยึดมาได้ก็จะเกิน 300 ล้านบาท
ส่วนเรื่องการตรวจยึดนาฬิกาหรูที่ห้องเช่าในซอยรามอินทรา 9 เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนาฬิกาปลอมนั้น พ. ต.ต.ยุทธนา ชี้แจงว่า เมื่อมีคนแจ้งเบาะแสข้อมูล เราเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงมีการไปขอหมายค้นจากศาลอาญาเพื่อเข้าตรวจสอบ และเมื่อพบทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นของแท้หรือของปลอม หากเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าและเชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับคดี ก็จำเป็นต้องยึดมาตรวจสอบทั้งหมดแล้วก็จะมีกระบวนการพิสูจน์ หากเป็นของแท้ก็จะทำให้มีมูลค่าสูงแต่ถ้าเป็นของปลอมก็ทำให้มูลค่าลดลง อย่างไรก็ตาม หากเป็นของปลอมก็ชวนคิดต่อไปว่าทำไมกลุ่มผู้กระทำความผิดจึงมีของปลอมไว้เพื่อวัตถุประสงค์ใด หรือว่าเอาไว้หลอกเพื่อทำให้เห็นว่าธุรกิจดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือ ทำแล้วประสบความสำเร็จ ทำให้ประชาชนยิ่งหลงเชื่อ จึงเป็นประเด็นที่เราต้องคิดต่อว่าพวกเขาครอบครองไว้เพื่อแจกใครหรือไม่ ก็ถือเป็นการหลอกลวง นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นการยักย้ายถ่ายเทตบตาเจ้าหน้าที่
ขณะที่ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีฯ เสริมว่า คดีอาญาฐานฟอกเงิน ดีเอสไอรับดำเนินการเป็นคดีพิเศษที่ 115/2567 ซึ่งการเข้าไปตรวจยึดทรัพย์สินในครั้งนั้น เกิดจากการที่มีพลเมืองดีซึ่งเป็นแม่บ้านของอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวได้แจ้งข้อมูลเรื่องทรัพย์สินที่มาจากการกระทำความผิดของผู้ต้องหาในคดีให้ดีเอสไอเข้าไปตรวจสอบ ถ้าเราไม่เข้าไป ก็คือการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ และเราเข้าไปด้วยความโปร่งใส และก่อนการตรวจค้นเราก็ให้เจ้าของอพาร์ตเมนต์ได้เป็นพยานเพื่อป้องกันการกล่าวอ้างว่ามีการเปลี่ยนทรัพย์สิน ทั้งนี้ทรัพย์สินดังกล่าวที่ถูกนำมาซุกซ่อนในห้องเช่าจะเป็นทรัพย์สินของบอสพอลหรือบอสอ๊อฟ ยังไม่สามารถสรุปได้ แต่เชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดอย่างแน่นอน
“วันที่เข้าไปไม่สามารถตรวจสอบได้ด้วยสายตาว่าทรัพย์สินนั้นเป็นของแท้หรือของปลอม แต่ทุกอย่างคือทรัพย์สินที่เชื่อได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มาจากการกระทำความผิด และเราไม่ได้เพียงตรวจสอบนาฬิกาหรู แต่เราต้องตรวจสอบทั้งกระเป๋าแบรนด์เนม รองเท้าแบรนด์เนม และวัตถุคล้ายทองคำ ซึ่งคนที่จะตอบได้ว่าเป็นของแท้หรือของปลอม ก็คือ ปปง. ที่เขาจะมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง และประเมินค่าของทรัพย์สิน” ร.ต.อ.วิษณุ กล่าว
ด้านนายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และในฐานะโฆษก ปปง. กล่าวว่า สำหรับข้อสังเกตต่าง ๆ ที่ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ไปดำเนินการกับทรัพย์ สินโดยการตรวจยึดเป็นของกลางในเบื้องต้น จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงาน ปปง.หรือไม่นั้น ตนยืนยันว่า เป็นคุณต่อ ปปง. เพราะตำรวจทำเรื่องคดีอาญา “ฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ส่วนดีเอสไอทำคดีอาญาฐานฟอกเงิน มันต่างกรรมต่างวาระ พนักงานสอบสวน จึงสามารถใช้อำนาจยึดเป็นของกลางในเบื้องต้นก่อนได้ และการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการเติมเต็มข้อจำกัดของ ปปง. เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่กังวลว่าจะสามารถยึดทรัพย์ได้หรือไม่ ทำให้พนักงานสอบสวนต้องลงพื้นที่ไปตรวจยึดทรัพย์สินเก็บไว้ก่อน แต่อย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดโดยตำรวจหรือดีเอสไอก็ต้องส่งรวบรวมให้ ปปง. เพราะเราคือหน่วยหลักหน่วยเดียวที่มีอำนาจในการดำเนินการกับทรัพย์สิน เพื่อร้องขอต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เมื่อปรากฏผู้เสียหาย เราก็จะขอให้ศาลมีคำสั่งชดใช้เฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จึงเป็นการบูรณาการร่วมกัน ถือเป็นประโยชน์ที่จะทำให้พี่น้องประชาชนได้ทรัพย์สินกลับคืนมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี