อธิบดีดีเอสไอ แถลงกรณี “ดิไอคอน” รับเป็นคดีพิเศษเฉพาะความผิดฐานฟอกเงิน ส่วนความผิดอื่นยังอยู่ในอำนาจของ ตร. ส่วนการจัดการทรัพย์สินอยู่ในอำนาจ ปปง.เตรียมขยายผลสอบผู้เกี่ยวข้องรวมทั้ง 18 ผู้ต้องหา ที่อยู่ในเรือนจำ ด้านญาติแห่เยี่ยมบอสชายวันแรก หลังครบระยะกักโรคโดยรองโฆษกราชทัณฑ์เผย18 บอส เริ่มปรับตัวได้ เครียดน้อยลง ยังไม่มีใครป่วย ส่งแยกขังขณะที่ผบ.ตร.สั่งสอบวินัยบอสโปลิศดิไอคอน กรุ๊ป ขีดเส้นรู้ผลภายใน2 วัน กำชับ ตร.ห้ามช่วยเหลือกัน
เมื่อวันที่ 24ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สถานที่คุมขังผู้ต้องหาชาย คดีบริษัท ดิ ไอคอนกรุ๊ป จำกัด 11 ราย ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมว่า นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนเดินทางไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นำเอกสารที่จะแจ้งความกรณีที่มีพนักงานของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ถูกตำรวจเชิญมาให้ปากคำและยึดโทรศัพท์มือถือ รวมถึงกรณีนักร้องเรียนหญิงที่มีพฤติกรรมเรียกรับเงินมาให้นายวรัตน์พล หรือบอสพอลเซ็นชื่อมอบอำนาจ และออกจากเรือนจำฯ ไปแล้ว
น้องสาวบอสพอลเข้าเยี่ยม
ทนายวิฑูรย์เผยต่อว่า ตนได้รับการประสานว่าทางเลขานุการและน้องสาวของบอสพอล จะเข้ามาเยี่ยมในรอบเวลา 10.10 น. ส่วนบอสชายคนอื่นตนไม่ทราบ แต่อาจมีทนายความของแต่ละคนเข้ามา
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เวลา 10.50 น. มีผู้หญิงสูงวัย ผมสั้น สวมเสื้อสีเขียวลายดอกไม้และกางเกงสีดำ ถือกระเป๋าสาน เดินออกมาหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งผู้สื่อข่าวจดจำใบหน้าละม้ายคล้ายนางจินดา แซ่ก๊อก มารดาของบอสพอล จึงเข้าไปสอบถามว่า ใช่คุณแม่บอสพอลหรือไม่ แต่หญิงคนดังกล่าวปฎิเสธ ก่อนเดินขึ้นรถยนต์ส่วนบุคคลยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีเทา ทะเบียน 9กษ91 กรุงเทพฯออกไป ทั้งนี้ มีรายงานว่า แม่บอสพอล ไม่ได้เข้าเยี่ยมด้วย แต่รออยู่ด้านนอกแทน เพราะไม่ได้ส่งชื่อเข้าไปก่อน และหลังเข้าเยี่ยม ครอบครัวได้พูดคุยกัน บางคนน้ำตาคลอ
18บอสเริ่มปรับตัวได้-ส่งแยกขัง
ด้านนางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผอ.กองทัณฑวิทยา รักษาราชการแทน ผอ.ทัณฑสถานหญิงกลาง และในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า สำหรับอาการล่าสุดของบอสชายและบอสหญิงทุกคนเริ่มปรับตัวได้ เครียดน้อยลง ยังไม่มีใครเจ็บป่วย ส่วนวันนี้เป็นวันแรกสำหรับบอสชายที่เปิดให้ญาติเยี่ยม หลังครบกำหนดกักโรคโควิด-19 ทำให้ทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังแดนควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาดี ห้องละ 2-3 คน แต่ไม่ขอเปิดเผยเลขแดน เพื่อความปลอดภัย ขณะที่บอสหญิงที่ครบกักโรคโควิด ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคมได้ถูกย้ายเข้าแดนควบคุมระหว่างพิจารณาคดีเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลเยี่ยมญาติของาบอสชายและบอสหญิง ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะผู้ต้องขังไม่อนุญาต
“บิ๊กเต่า”นัดบอสตำรวจให้ปากคำ26ตค.
จากกรณีมีการเผยแพร่คลิปของ“พันตำรวจเอก” นายหนึ่ง แต่งกายเครื่องแบบตำรวจ ปรากฏตัวบนเวที ดิไอคอน พร้อมเปิดใจเกี่ยวกับการเป็นข้าราชการตำรวจ และการเข้าสู่ธุรกิจนี้ ตามที่มีการเสนอข่าวนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.)ว่า เห็นคลิปดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้พูดคุยรายละเอียด ซึ่งตำรวจ ปปป. นัดหมายให้นายตำรวจที่ปรากฏภายในคลิปมาให้ปากคำวันที่ 26 ตุลาคม และตนจะสอบปากคำเอง เพื่อหาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคลิปดังกล่าวด้วยตนเองว่าจะเป็นลักษณะการพูด เป็นการแอบอ้าง หลอกลวง หรือไม่อย่างไร
มีรายงานข่าวจากบุคคลใกล้ชิดตำรวจคนดังกล่าว ระบุว่า หลังเป็นข่าว ตำรวจคนนี้เครียดและเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อรายงานตัวกับ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.
ผู้การฯสระบุรีตั้งกก.สอบ“พ.ต.อ.”
ขณะที่พล.ต.ต.ธรรมนูญ เชาวะวนิชย์ ผบก.ภ.จว.สระบุรี เปิดเผยถึงกรณี“พ.ต.อ.” ตำแหน่ง รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี แต่งเครื่องแบบขึ้นเวที “ดิไอคอน”ว่า ขณะนี้เข้าไปรายงานตัวที่กองบังคับการปราบปราม ที่กรุงเทพฯแล้ว ผบ.ตร.ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ตนตั้งคณะกรรมการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายงานผลภายใน 15 วัน โดยต้องตรวจสอบว่า ขณะที่ พ.ต.อ. ไปขึ้นเวทีนี้มีเจตนาอย่างไร หรือทำธุรกิจขายตรงอย่างไร มีความผิดคาบเกี่ยวกับคดีอาญาหรือไม่ หรือกล่าวอ้างถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด หากพบมีความผิดส่วนไหน จะดำเนินการส่วนนั้น
ยอมรับทำขายตรงไม่เกี่ยวแชร์ลูกโซ่
พล.ต.ต.ธรรมนูญกล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ทราบว่าอยู่ระหว่างที่พ.ต.อ. ปฏิบัติงานเป็นผู้กำกับสอบสวน หลังมีภาพข่าวออกมา ตนยังได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.ซึ่งบอกกับตนว่า ที่ทำลงมีเจตนาที่จะทำธุรกิจขายตรง และทำยอดจนได้ไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงนั้น แต่การพิสูจน์ทราบ ต้องเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนและการสอบสวนทางกฎหมาย ทั้งนี้ หลังสอบสวนแล้วถ้าพบเป็นความผิดทางอาญาก็ต้องดำเนินคดีอาญา ซึ่งคดีอาญาจะมีคณะทำงานของระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการ ส่วนเรื่องความผิดทางวินัย ตนซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้ดำเนินการ เบื้องต้นจากคำชี้แจงของ พ.ต.อ.แจ้งว่าประกอบธุรกิจขายตรง ไม่ได้มีส่วนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่
ผบ.ตร.สั่งสอบวินัยบอสโปลิส2ประเด็น
ด้านพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)กล่าวถึงคลิปพ.ต.อ.ขึ้นเวทีดิไอคอนว่า สั่งการพล.ต.ท.อัคราเดชว่าเรื่องดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ประเด็นคือ 1.ต้องตรวจสอบนายตำรวจที่ออกมาทำลักษณะเป็นโค้ชพูดชักชวนเช่นนี้ ให้เรียกมาสอบปากคำภายในวันนี้ ( 24 ตุลาคม) ให้บช.ก.เป็นผู้พิจารณาว่ามีพฤติกรรมรายละเอียดเป็นอย่างไร ให้หลักการว่าจะไม่มีการช่วยเหลือกันในฐานะตำรวจถ้าพบพฤติกรรมใดๆ ที่เข้าข่ายลักษณะความผิดทั้งการฉ้อโกงประชาชน หรือความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2.ต้องตรวจสอบการแต่งเครื่องแบบตำรวจไปทำพฤติการณ์เช่นนั้นทำได้หรือไม่ และใช้เวลาราชการไปทำหรือไม่ การตรวจสอบส่วนนี้ สั่งสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ตรวจสอบความผิดทางวินัย โดยต้องจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรกลับมารายงานตนภายใน 2 วัน นับตั้งแต่วันนี้
“ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเงินเดือนค่าตอบแทน ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัวแต่สิ่งสำคัญคือการเป็นข้าราชการตำรวจต้องรู้ว่าสิ่งใดควรแสดงออกหรือไม่อย่างไร ความเห็นบางอย่างจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางครั้งเป็นสิ่งที่ดีจะได้รู้ว่า ตร.ควรปรับปรุงพัฒนาการทำงานตำรวจในรูปแบบอย่างไร ส่วนหนึ่งก็ต้องฟังนายตำรวจคนนี้ด้วย แต่การที่เอาเวลาราชการไปทำลักษณะดังกล่าวถ้าไม่ใช่การเบียดบังเวลาราชการเป็นเวลาส่วนตัวก็ไม่ว่ากัน แต่การสวมใส่เครื่องแบบไปทำเช่นนั้นจะถูกต้องหรือไม่ต้องตรวจสอบอย่างจริงจัง”ผบ.ตร.ระบุ และว่า ส่วนตัวสนับสนุนตำรวจที่ทำมาหากินโดยสุจริตแต่หมายความว่าต้องทำถูกต้องตามกฎหมายสุจริตชน ไม่เบียดเบียนเวลาราชการ และต้องไม่หลอกลวงคนอื่น จากนี้เป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ถ้าพิสูจน์ได้ว่าเข้าข่ายหลอกลวงให้ประชาชนร่วมทำสิ่งใดอย่างใด ทำให้เสียทรัพย์สิน ต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางวินัยและทางอาญา
พ.ต.อ.แจงเคยเป็นแม่ทีมอีกบริษัทหนึ่ง
วันเดียวกัน พ.ต.อ.สมคิด สาวิสัย ตำแหน่งปัจจุบันคือ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี เปิดใจกับรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า ในคลิปที่เห็นขึ้นเวทีเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 ขณะนั้น เป็น ผกก.สอบสวน อยู่ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี และเป็นสมาชิกของบริษัท เจอเนสส์ เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมความงาม เป็นตั้งแต่ปี 2559 แล้ว ตนเป็นระดับแม่ทีม สมาชิกในทีม 100 กว่าคน ส่วนคลิปที่มีการเผยแพร่ปี 2560 จัดขึ้นที่เมืองทองธานี วันนั้นเจอกับสมาชิกของบริษัท เจอเนสส์ ที่บริษัทดิไอคอนรับหน้าที่จัดงานให้ เพื่อทำประชาสัมพันธ์ เนื้อหาบนเวทีก็พูดถึงการเป็นแม่ทีมของบริษัท เจอเนสส์ว่าดีอย่างไร เพราะบริษัทจดทะเบียนถูกตามกฎหมายกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ส่วนประเด็นที่บางช่วงบางตอนพูดถึงการทำงานในชีวิตตำรวจ ทั้งเรื่องวันหยุดที่แทบจะไม่มีวันหยุด หรือรายได้ที่ขึ้นปีละ 200-400 บาท ยืนยันว่าอันนี้คือประสบการณ์ทำงานในชีวิตตำรวจที่ผ่านมา
ยันไม่เคยทำอิไอคอน-ไม่รู้จักบอสพอล
“ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะไปโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เหมือนที่สังคมกำลังเข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะไม่พูดบนเวทีบอกว่าตำรวจ อาชีพตำรวจให้อะไรกับผมบ้างในเรื่องหน้าที่การงานที่มั่นคง”พ.ต.อ.สมคิดกล่าว และว่า ตนเป็นสมาชิกของบริษัท เจอเนสส์ ประมาณ 2 ปี ก็ตัดสินใจลาออก เพราะต้องการหารายได้อย่างอื่นที่ดีกว่า หลังจากนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทเจอเนสส์อีก ขอย้ำว่าที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ไม่เคยเป็นสมาชิกของดิไอคอน ไม่เคยรู้จักบอสพอล ไม่รู้จักบอสอื่นในดิไอคอน ทั้งนี้ หลังกลายเป็นประเด็นก็เกิดความเครียด ที่ถูกนำไปโยงว่าเกี่ยวกับดิไอคอน ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เรื่องนี้ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบแล้ว อย่าให้สังคมเพิ่งไปตัดสินเพียงแค่เห็นคลิป คือเป็นเวทีการจัดของดิไอคอน เขาเชิญไป เราก็พาทีมงานเราไปเรียนรู้ครั้งเดียว แล้วก็ไม่มีอีก ไม่ได้ไปอีกเลย ตนไม่ได้เป็นสมาชิก
DSIรับเป็นคดีพิเศษเฉพาะฟอกเงิน
เวลา 14.00 น.วันเดียวกัน ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พันตำรวจตรียุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงข่าวเกี่ยวกับคดีฟอกเงินกรณีบริษัท ดิ ไอคอน เป็นคดีพิเศษ โดยระบุว่า ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษเฉพาะความผิดอาญาฐานฟอกเงินเท่านั้น ซึ่งเป็นการดำเนินคดีกับผู้ที่โอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ยังคงสอบสวนความผิดอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดอื่น ขณะที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะรับดำเนินการเรื่องทรัพย์สิน ส่วนที่ดีเอสไปตรวจยึดไว้จะแจ้งให้ ปปง.ดำเนินการ
เข้าเงื่อนไขมูลค่าทรัพย์เกิน300ล้าน
พันตำรวจตรียุทธนากล่าวต่อว่า ทรัพย์ขณะนี้แบ่งเป็น กลุ่ม 1 ที่ดิน 3 แปลงที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี, กลุ่ม 2 ทรัพย์สินที่เป็นที่ตั้งของ บ.ดิไอคอน รวมทั้งอาคารสิ่งปลูกสร้างจำนวนหลายแปลง ส่วนกลุ่ม 3 เป็นทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้จากย่านรามอินทราคือ นาฬิกาและกระเป๋าแบรนด์เนม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหลังมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นของปลอม
ทั้งนี้ รายการทรัพย์สินที่ดีเอสไอตรวจยึดและอายัดปัจจุบัน ที่ดินอ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 3 แปลง มูลค่าราคาซื้อขายประมาณ 300 ล้านบาท ที่ดินในเขตกรุงเทพมหานคร 13 แปลง ที่ตั้งของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด 5 แปลง และยังมีสิ่งปลูกสร้างที่เขตบางเขน ราคาประเมินกว่า 10 ล้านบาท และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ ที่เขตบางเขน อีก 3 แปลง ราคาประเมิน 6.5 ล้านบาท ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ชื่อระบุนายวรัตน์พล (บอสพอล) 5 แปลง แบ่งเป็นในเขตบางเขน 1 แปลง เขตบึงกุ่ม 1 แปลง เขตบางกะปิ 1 แปลง และเขตลาดพร้าว 2 แปลง รวมราคาประเมิน 43 ล้านกว่าบาท ถ้าคิดราคาซื้อขายจากกรมที่ดินก็จะขึ้นไปอีกสามเท่า รวมมูลค่าไม่รวมสิ่งปลูกสร้างจะประมาณร้อยล้านบาท แต่ถ้าไปรวมกับที่ตำรวจยึดมาได้จะเกิน 300 ล้านบาท
“รับเป็นคดีพิเศษ เพราะพบว่ามีการทำความผิดมูลฐานที่ตร.สืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และเข้าเงื่อนไขกรณีมีทรัพย์สินเกี่ยวกับการทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งการสืบสวนพบว่าการฉ้อโกงประชาชน หลอกเอาทรัพย์สินผู้เสียหาย และเชื่อว่ามีการนำทรัพย์สินเหล่านี้ไปซื้อทั้งอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ”พันตำรวจตรียุทธนากล่าว
ย้ำมีแถว2-3ลั่นดำเนินคดีทั้งหมด
และว่า ส่วนผู้ต้องหากลุ่มแรก 18 คนที่ตำรวจดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้ เชื่อว่าคนกลุ่มนี้มีพฤติการณ์รับโอนและครอบครองทรัพย์สินที่ได้มาจากการทำความผิดอยู่ด้วย ซึ่งมีโอกาสถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงิน เพราะถือเป็นความผิดต่างกรรม โดยต้องถูกแจ้งข้อหาฟอกเงินทางอาญาเร็วๆนี้ นอกจากนี้ ยังมีบุคคลอื่นที่เป็นแถว 2-3 ก็จะสอบสวนขยายผลดำเนินคดีทั้งหมด ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการโอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการทำผิด กี่ทอด ถ้าพิสูจน์ได้จะเข้าข่ายความผิดทั้งหมด เพราะมีเจตนาปกปิด อำพราง หรือรับไว้โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นทรัพย์ที่มาจากการทำความผิด
ยันไม่ซ้ำซ้อนตร.ทำคดีฐานฉ้อโกง
อย่างไรก็ตาม สำนวนคดีฐานฉ้อโกงประชาชนที่ตำรวจทำจะยังไม่ต้องโอนมาที่ดีเอสไอ ไม่ซ้ำซ้อนทับซ้อนกันแน่นอน เว้นแต่ว่าทางตำรวจพบความผิดตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งเป็นกรณีแชร์ลูกโซ่ ทางตำรวจจะต้องแจ้งมายังดีเอสไอ เพื่อท้ายสุดจะได้โอนสำนวนคดี ผลการสอบปากคำผู้เสียหาย ผลการสอบปากคำผู้ต้องหามาให้ดีเอสไอดำเนินการแทน ตามประกาศของ กคพ. ทั้งนี้ ปัจจุบันนี้ความยังไม่ปรากฏว่าเป็นแชร์ลูกโซ่แต่อย่างใด
นายวิทยา นีติธรรม ผอ.กองกฎหมาย และในฐานะโฆษก ปปง.กล่าวว่า สำหรับข้อสังเกตที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปดำเนินการกับทรัพย์สิน โดยตรวจยึดเป็นของกลางเบื้องต้น จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสำนักงาน ปปง.หรือไม่นั้น ตนยืนยันว่า เป็นคุณต่อ ปปง. เพราะตำรวจทำเรื่องคดีอาญาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ส่วนดีเอสไอทำคดีอาญาฐานฟอกเงิน ซึ่งต่างกรรมต่างวาระ พนักงานสอบสวนสามารถใช้อำนาจยึดเป็นของกลางในเบื้องต้นก่อนได้ และการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการเติมเต็มข้อจำกัดของ ปปง. เพราะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่กังวลว่า จะยึดทรัพย์ได้หรือไม่ ทำให้พนักงานสอบสวนต้องลงพื้นที่ไปตรวจยึดทรัพย์สินเก็บไว้ก่อน อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดโดยตำรวจหรือดีเอสไอก็ต้องส่งรวบรวมให้ปปง. เพราะเราคือหน่วยหลักหน่วยเดียวที่มีอำนาจดำเนินการกับทรัพย์สิน เพื่อร้องขอต่อศาลให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เมื่อปรากฏผู้เสียหาย เราจะขอให้ศาลมีคำสั่งชดใช้เฉลี่ยคืนแก่ผู้เสียหายแทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เป็นการบูรณาการร่วมกัน ถือเป็นประโยชน์ที่จะทำให้ประชาชนได้ทรัพย์สินกลับคืนมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี