ที่อาคารคลุมหลุมขุดที่ 3 ตั้งอยู่บริเวณห้วยประตูตีหมา อุทยานแห่งชาติภูเวียง อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น ดร.วราวุธ สุธีธรผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดฟอสซิล และเป็นคนแรกของประเทศไทยที่เริ่มต้นขุดฟอสซิล พร้อมด้วย นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง และทีมนักวิจัยเรื่องฟอสซิลไดโนเสาร์ เร่งขุดหาฟอสซิลไดโนเสาร์ชิ้นส่วนต่างๆ หลังพบว่าเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ของภูเวียงตัวที่ 6 และลุ้นที่จะพบเป็นไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ของโลกด้วย โดยการขุดฟอสซิลไดโนเสาร์ในหลุมขุดที่ 3 นี้มีการเริ่มต้นขุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา หลังจากหยุดขุดไป 30 ปี หลังจากขุดพบและคาดว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ที่เคยขุดพบตัวแรกของภูเวียงและเป็นไดโนเสาร์ในคำขวัญประจำจังหวัดขอนแก่นด้วย ซึ่งความคืบหน้าในการขุดฟอสซิลไดโนเสาร์นั้น พบชิ้นส่วนกระดูกสันหลังส่วนกลางตัว กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกซี่โครง ฟัน แต่ยังไม่พบชิ้นส่วนขาหน้าและขาหลัง คาดว่าจะอยู่ลงลึกไปอีก แต่ด้วยอุปสรรคเป็นหินที่แข็งจึงต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการขุดอย่างต่อเนื่อง และหลุมขุดที่ 3 นี้ อยู่ห่างจากจุดที่นักสำรวจเเร่ ยูเรเนียมเข้ามาเจอกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นแรกของประเทศไทยในปี พ.ศ.2519 ไม่ถึง 200 เมตร
ดร.วราวุธ สุธีธร อายุ 76 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการขุดฟอสซิล กล่าวว่า ไดโนเสาร์ตัวที่อยู่ในหลุมขุดที่ 3 นี้ เราทราบชัดเจนว่าเป็นไดโนเสาร์ซอโรพอด จำพวกกินพืช โดยคาดว่าจะเป็นกลุ่ม ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ ที่เคยขุดพบ จึงได้หยุดขุดไป 30 ปี กระทั่งช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดร.สุรเวช สุธีธร ซึ่งเป็นลูกชายและมีความสนใจเช่นเดียวกัน ได้ไปศึกษาเรียนจบกลับมา และพอมาดูรายละเอียดกระดูกบางชิ้นพบว่ามีความต่างจากภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ เราจึงได้เริ่มโปรเจกท์อีกครั้งโดยได้งบประมาณจากกองทุนซากดึกดำบรรพ์มาเริ่มต้นขุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากหยุดขุดไป 30 ปี โดยมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมาช่วยกันขุด แต่อุปสรรคเนื่องจากสภาพหินแข็งมาก แต่ก็ยังพอที่จะขุดลงลึกไปได้จนขณะนี้พบกระดูกหลายๆ ชิ้นโผล่ขึ้นมามีความสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่งจากที่ปีแรกเราสงสัยว่าตัวนี้ไม่น่าจะใช่ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ เนื่องจากกระดูกหลายๆ ชิ้นที่ขุดพบนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก กระทั่งเป็นคนละกลุ่มกับสายพันธุ์ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ และมีความใกล้เคียงกับกลุ่มอื่นๆ และก็มีส่วนคล้ายกับแบรคิโอซอรัส ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่และรูปร่างต่างจากภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่ อย่างมาก โดยกระดูกที่ค้นพบนั้นจะมีลักษณะเด่นเฉพาะหลายๆ อย่าง ทั้งขนาดที่ใหญ่กว่าถึง 2 เท่า ลักษณะกระดูกซึ่งมีขนาดใหญ่มีการลดน้ำหนักต่างจากภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน่คือ จะมีโพรงในกระดูกสูงมาก เพื่อที่จะทำให้กระดูกมีน้ำหนักเบาและแข็งแรง ในการจะเป็นกระดูกขนาดใหญ่และน้ำหนักไม่มากเกินไป และก็เจอจากกระดูกหลายชิ้นที่ขุดพบ ณ ขณะนี้ จึงมั่นใจว่าจะเป็นไดโนเสาร์ที่ขุดพบสายพันธุ์ใหม่ตัวที่ 6 ของภูเวียง และจากชิ้นส่วนหลายๆ ชิ้นที่เราพบนั้นก็จะนำไปศึกษารายละเอียดเปรียบเทียบในกลุ่มแบรคิโอซอรัสว่าจะอยู่ตรงไหนในกลุ่มเดียวกัน และมีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราก็จะสามารถสรุปได้ว่าเป็นตระกูลใหม่ หรือชนิดใหม่ของโลกด้วยหรือไม่ ตอนนี้ความเป็นไปได้สูงที่ไดโนเสาร์ตัวนี้จะเป็นสายพันธุ์ใหม่และเป็นกลุ่มใหม่ของโลกด้วย แต่จะต้องมีการศึกษารายละเอียดที่มีการค้นพบอยู่แล้วในโลกนี้ซึ่งรายละเอียดแตกต่างมากน้อยแค่ไหน หากมีความแตกต่างมากก็จะเป็นสายพันธุ์ใหม่ของโลกได้
นายสุธรรม วงษ์จันทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูเวียง กล่าวว่า ตั้งเเต่การพบฟอสซิลชิ้นเเรกในปีพ.ศ. 2519 มาจนถึงปัจจุบัน เทือกเขาภูเวียงมีการค้นพบไดโนเสาร์สายพันธุ์ใหม่ของโลกถึง 5 ชนิด และในหลุมขุดที่ 3 นี้รอลุ้นว่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ตัวที่ 6 ของโลก ทีมนักวิจัยขุดพบทั้งหมดจะนำมาจัดเเสดงอยู่ที่ศูนย์ศึกษาวิจัยเเละพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภายใต้การดูเเลของกรมทรัพยากรธรณี และความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งจากกรมทรัพยากรธรณี กรมอุทยานฯสถาบันการศึกษา รวมทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนเเก่น ร่วมกับภาคีเครือข่าย พยายามผลักดันให้พื้นที่อุทยานธรณีขอนเเก่น หรือ “ขอนเเก่น จีโอพาร์ค” ได้ขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานธรณีโลก
สมใจ นามสุดตา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี