DSIเร่งเช็คเส้นเงิน
‘18บอสดิไอคอน’ย้อนหลัง7ปี
สอบคนรับเงิน-ทรัพย์สินด้วย
ดีเอสไอเร่งตรวจสอบธุรกรรมการเงิน “18 บอสดิไอคอน” ย้อนหลัง 7 ปี หลังส่งหนังสือประสานธนาคาร ดึงเส้นทางการเงินตั้งแต่เปิดบริษัทฯ ปี 2561 เช็คเหตุฟอกเงินทางอาญา รวมถึงประเด็นเงิน 2.5 ล้านจากบัญชี“บอสพอล” โอนเข้าบัญชีแม่นักการเมืองดัง ขณะที่“ดิไอคอน” ปิดสำนักงานชั่วคราวตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ให้ดีลเลอร์เบิกสินค้าที่คาเฟ่แทน หลังดีเอสไอ รับเป็นคดีพิเศษ ด้าน กระทรวงการคลังพร้อมร่วมมือกับดีเอสไอสรุปคดี “ดิไอคอน” เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ หรือไม่ ชี้ผิดกฎหมายฉ้อโกงต้องเข้า 3 เงื่อนไข
ความคืบหน้า จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งรับสำนวนคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปจำกัด เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 ใน 2 ฐานความผิดเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน อันประกอบด้วย ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ หลังมีการส่งต่อสำนวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ก่อนมีการเตรียมออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อจะได้สรุปสำนวนคดีนำส่งต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษ ทันกรอบระยะเวลาการฝากขัง 18 ผู้ต้องหาภายในผัดแรกนั้น
เตรียมเช็คเส้นทางการเงิน18บอส
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรอเอกสารรายงานเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบรรดา 18 ผู้ต้องหาจากทางธนาคาร ซึ่งหากดีเอสไอได้รับรายงานธุรกรรมดังกล่าวแล้ว จะได้นำมาตรวจสอบว่าใครมีการทำธุรกรรมอย่างไรกันบ้าง เช่น บุคคลใดโอนเงินให้บุคคลใด และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร
ส่วนประเด็นเรื่องเส้นทางการเงินจำนวน 2.5 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ไปยังบัญชีธนาคารของมารดานักการเมืองท่านหนึ่ง ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นเดียวกัน เพราะต้องตรวจสอบที่มาที่ไป เนื่องจากคดีการฟอกเงินทางอาญานั้น จำเป็นที่จะต้องดูขาเข้าและขาออกถึงจะโยงกันได้ อย่างไรก็ตาม แม้พูดกันตามปกติว่าโอนไปไหนอย่างไร แต่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้มีการดำเนินคดีจะต้องมีขาเข้าและขาออกที่ชัดเจนถึงจะเชื่อมโยงกันได้
คาดปมโอน2.5ล.ชัดเจนใน2สัปดาห์
เมื่อถามว่าหากมีการชี้แจงว่าเงิน 2.5 ล้านบาท ดังกล่าวคือเงินโอนทำบุญระหว่างกัน ทางผู้ถูกกล่าวหาจะต้องมีการนำใบอนุโมทนามาใช้ยืนยันการทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าใช่ เพราะต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ว่าเงินที่นำออกไปนำไปใช้ทำอะไร อย่างไร ที่ไหน และเพื่อวัตถุประสงค์ใด ดังนั้น แม้จะให้การอย่างไรก็สามารถให้การได้ แต่จะอยู่ที่คณะพนักงานสอบสวนที่จะต้องพิจารณาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ หากเชื่อ ก็ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมสุจริต แต่ถ้าไม่เชื่อก็จะต้องพิจารณาดำเนินคดีตามขั้นตอน ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารจะถือเป็นจำนวนเงินที่มันมีความถูกต้อง 100% เราจะไม่ใช้เส้นเงินที่เกิดจากสื่อในโซเชียลมีเดีย เพราะมันใช้งานจริงไม่ได้ และในการสอบสวน เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานต้นทางจากธนาคารเท่านั้น คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์จะทราบความคืบหน้า
ไล่เส้นทางการเงินตั้งแต่เปิดบริษัท
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า สำหรับห้วงปีที่ดีเอสไอจะมีการตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินของบรรดา 18 บอสนั้น เบื้องต้นจะไล่ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2561-2563 แต่ต้องยอมรับอุปสรรคปัญหาเล็กน้อยว่าในปีดังกล่าวนี้อาจไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา แต่อย่างไรทางธนาคารคงจะเร่งรัดดำเนินการให้ดีเอสไออย่างแน่นอน อีกทั้งดีเอสไอก็ได้มีการขอเส้นทางการเงินย้อนหลังไปตั้งแต่มีการเปิดบริษัทฯ อีกด้วย
ทั้งนี้ ในการชี้แจงการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ หากผู้ต้องหายังอยู่ระหว่างการคุมขังภายในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ดีเอสไอก็จะต้องเข้าไปสอบสวน และไม่เฉพาะบรรดาบอสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลอื่น ๆ รอบข้างที่มีการรับโอนเงิน รับทรัพย์สินจากกลุ่มดิไอคอนกรุ๊ป ดีเอสไอจะต้องตรวจสอบทุกคน ดังนั้น จึงยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกให้ใครมาชี้แจงข้อมูล
ยันเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า หากดีเอสไอได้รับข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จะสามารถใช้ในการสอบปากคำได้ว่า “เงินจำนวนนี้คือเงินอะไร” , “คุณได้เงินจำนวนนี้มาได้อย่างไรและได้มาอย่างไร”, “คุณมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร” เป็นต้น เพื่อใช้พิจารณาต่อว่าส่วนนี้จะเป็นการฟอกเงินทางอาญาหรือไม่ ดีเอสไอจึงมีความจำเป็นต้องไล่หลักฐานตรงนี้ พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการนี้คือเรื่องเร่งด่วนที่ดีเอสไอและธนาคารเข้าใจตรงกัน
“ดิไอคอน”ปิดสำนักงานชั่วคราว
ความคืบหน้าภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีคำสั่งรับสำนวนการสอบสวนกรณีมีผู้กล่าวหาบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป จำกัด กับพวก ในคดีความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชนและความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ ตามที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง (บช.ก.) ทำการสอบสวนและส่งมอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคสอง กรณีที่มีความผิดต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกับการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงิน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เพจเฟซบุ๊ก The iCon Group โพสต์ข้อความแจ้งว่า “ประกาศปิดสำนักงาน (ชั่วคราว) ตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป โดยตัวแทนจำหน่าย สามารถเบิกสินค้าได้ที่ตึก iCon House Cafe ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้”
สำหรับตึก ICON HOUSE CAFE เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่มของดิไอคอนกรุ๊ป ตั้งอยู่ในโครงการ Nirvana @Work รามอินทรา เปิดเมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา
ขณะที่ก่อนหน้านี้ บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ได้ตั้งศูนย์รับเรื่องช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ที่สำนักงานฯ แก่สมาชิกที่ได้รับความเสียหาย โดยมีผู้ยื่นคำร้องขอรับความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก โดยได้เปิดรับเรื่องจนถึงเมื่อวานนี้ (31 ต.ค.67) ซึ่งบริษัทฯ ระบุว่า หลังจากนั้นจะทำการตรวจสอบข้อมูลและสรุปมาตรการในการช่วยเหลือต่อไป
คลังร่วมสรุปเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่
ทางด้าน นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่าอยู่ระหว่างรอความเห็นจาก สศค. เพื่อพิจารณาคดีผู้บริหาร ดิ ไอคอน กรุ๊ป ว่าเข้าข่ายความผิดตาม พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 (แชร์ลูกโซ่) หรือไม่ รวมถึงขอความร่วมมือให้กระทรวงการคลังส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมอยู่ในคณะสอบสวนคดีดังกล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังจะต้องพิจารณาในรายละเอียดทั้งหมดตามข้อมูลต่าง ๆ และต้องอยู่บนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะในส่วนของ พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527โดยในส่วนนี้ มีเงื่อนไขสำคัญพร้อมกันในการพิจารณาอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย 1.การโฆษณาชวนเชื่อเป็นจำนวนเท่าไร 2.การกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายหรือไม่ 3.ไม่ได้ประกอบอาชีพการซื้อขายจริง แต่นำเงินมาจากที่อื่นมาจ่ายให้กับผู้เสียหาย
ชี้ผิดข้อหาฉ้อโกงต้องเข้า3เงื่อนไข
นายพรชัยกล่าวว่า การพิจารณาว่ามีความผิดเข้าข่ายกฎหมายฉ้อโกง หรือพิจารณาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่นั้น ต้องเข้าเงื่อนไขทั้ง 3 ประการ ซึ่งส่วนนี้ สศค.จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญ น่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ไปช่วย DSI ตรวจสอบด้วย เพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งยืนยันว่า สศค.ยินดีที่จะเข้าไปช่วยดูแลเรื่องนี้ให้กับรัฐบาล
นายพรชัย กล่าวถึงการเอาผิดแม่ข่ายดิไอคอนกรุ๊ประดับกลางไปจนถึงระดับล่าง โดยยอมรับว่าปัจจุบันการทำธุรกิจมีรูปแบบใหม่เกิดมามากขึ้น มีความซ้ำซ้อนมากขึ้น แต่ตัว พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนนั้น บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2527 หรือ 40 ปีมาแล้ว จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาทบทวน แก้ไขตัวบทกฎหมายกันใหม่เพื่อให้ทันสมับ ครอบคลุม และสอดคล้องทันสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น สามารถปฏิบัติได้จริงอย่างทันท่วงที ในการดูแลผู้เสียหายได้อย่างสูงที่สุด
“ที่สำคัญ สศค.ยังอยู่ระหว่างร่วมกับกฤษฎีกาในการพิจารณาทบทวน พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เพื่อให้เป็นปัจจุบันและทันสมัยขึ้นตามนโยบายของ รมว.คลัง เนื่องจากขณะนี้รูปแบบการทำธุรกิจมีความซ้ำซ้อนมากขึ้น หลังจากใช้มานานแล้วกว่า 40 ปี รวมถึงจะดูถึงความเหมาะสมในการให้หน่วยงานไหนเป็นคนกำกับดูแลอีกด้วย” นายพรชัย กล่าว
“เจ๊อ้อย”ให้ปากคำปมเงิน71ล.12ชม.
ส่วนกรณี “เจ๊อ้อย” เศรษฐีนีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส พร้อมด้วยเลขาส่วนตัวและทนายความ เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เกี่ยวกับกรณีที่ถูกทนายดังหลอกลวงเงินไปกว่า 71 ล้านบาท โดยมี พ.ต.อ.ธงชัย อยู่เกษ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ ผกก.3 บก.ป. เข้าร่วมสอบปากคำ ตั้งแต่เวลา 11.00 น.วันที่ 31 ต.ค.2567
โดยเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.วันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา เจ๊อ้อย ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บก.ป. นานกว่า 12 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ โดยไม่ได้ตอบคำถามใดๆ กับสื่อมวลชน ก่อนจะขึ้นรถกลับออกไป โดยมอบหมายให้นายสมชาติ พินิจอักษร ทนาย ความ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแทน
ทนายมั่นใจไม่ได้ให้โดยสเน่หา
นายสมชาติ เปิดเผยว่า รายละเอียดต่างๆ อยู่ในสำนวนของพนักงานสอบสวน ตนไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ยืนยันว่าเงินจำนวน 71 ล้านบาท ลูกความของตนไม่ได้ให้ไปโดยเสน่หาตามที่ทนายความชื่อดังกล่าวอ้างอย่างแน่นอน มีหลักฐานทุกอย่างและได้มอบให้พนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว เบื้องต้นจะแจ้งความเอาผิดทนายความข้อหาลักทรัพย์ก่อน ถ้าพนักงานสอบสวนเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติม ตนจะประสานลูกความมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง
“ส่วนกรณีที่ทนายความคู่กรณียืนยันว่า เจ๊อ้อย ให้เงินมาด้วยเสน่หานั้น ถือเป็นสิทธิ์ที่เขาจะชี้แจง แต่ผมมั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ และถึงแม้คู่กรณีจะเป็นนักกฎหมายก็ไม่ทำให้ผมหนักใจ เพราะผมเชื่อว่าเป็นนักกฎหมายก็สามารถที่จะทำผิดได้เหมือนกัน ถ้าผมทำผิดตนก็จะออกมายอมรับผิดแบบลูกผู้ชาย” นายสมชาติ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี