‘แทนคุณ’ร้อง‘วันนอร์’สอบ‘สภาทนายความ’ปล่อยให้มี‘ทนายโจร-ทนายมิจฉาชีพ’ ขอประชาชนมีสิทธิ์เข้าชื่อยื่นถอดถอนออกจากสารบบ ข้องใจ‘สภาทนายความฯ’รับเงินจากรัฐ ปีละ 20 ล้าน แต่ไม่ทำงานเพื่อประชาชน
4 พฤศจิกายน 2567 ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ยื่นหนังสือต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบการทำงานของสภาทนายความฯ โดยเฉพาะกรณีทนายความกระทำผิดข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาทของทนายความต่อประชาชนผู้มีอรรถคดี มรรยาทต่อตัวความ และมรรยาทเกี่ยวกับความประพฤติของทนายความ โดยมีนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมากถึงพฤติกรรมของทนายความที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและกระทำผิดต่อมรรยาททนายความหลายกรณี อาทิ มีการเรียกรับทรัพย์สิน นอกจากค่าวิชาชีพจากผู้เสียหายและคู่กรณีแล้ว ยังมีการนำข้อมูลของคู่ความฝ่ายหนึ่งไปเปิดเผยให้อีกฝ่ายเพื่อเรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด ที่เรียกว่าการตบทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หรือนำทรัพย์สินของลูกความไปใช้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อกิจการของตนเอง เช่น นำทรัพย์สินของลูกความไปใช้ถ่ายภาพเพื่อโฆษณาหรือธุรกิจของตน
นอกจากนี้รวมถึงกรณีทนายความที่แสดงออกและใช้คำพูดที่การเป็นสร้างความแตกแยกทางสังคม แตกแยกระหว่างศาสนา แสดงออกในลักษณะยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเสียหายต่อความสงบและศีลธรรมอันดีของสังคมและใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง ฟ้องปิดปาก ผู้ที่เห็นต่าง หรือ SLAPP ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
นายแทนคุณ กล่าวว่า แม้จะมีการร้องเรียนไปที่สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่สิ่งที่ได้คือการอ้างกฎระเบียบที่ต้องส่งข้อมูลการกล่าวหาทนายความที่เป็นคู่ความให้ได้รับทราบ โดยไม่มีการคำนึงถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือปกปิดตัวตนของคู่ความ จนเป็นเหตุให้ทนายความที่ถูกร้องเรียนดังกล่าว กลับมาฟ้องปิดปากคู่ความ ทำให้ไม่มีคนกล้าไปร้องเรียน และกระบวนการพิจารณาไม่มีกรอบเวลา ไม่มีความชัดเจน พบว่า อาจมีการปล่อยปละละเลย เพิกเฉยต่อปัญหา ใช้เวลาในการพิจารณานานนับปี สร้างความทุกข์ทรมานและความขัดแย้งไม่จบสิ้น ทั้งที่ทนายความถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมาย สมควรที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน
“แต่กลายเป็นว่าทนายความบางคนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความอยุติธรรมที่ทำร้ายประชาชน จนมีการเรียกทนายที่มีพฤติกรรมดังกล่าวว่า “ทนายโจร” , “ทนายมิจฉาชีพ” และการที่สภาทนายความขาดประสิทธิภาพในการทำงานช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที แม้พฤติกรรมของทนายความเพียงส่วนน้อย แต่ถูกขยายผลทำให้พี่น้องประชาชนรู้สึกว่าเป็นการทำลายภาพลักษณ์ และศักดิ์ศรีของทนายความมืออาชีพที่กระทำการด้วยความสุจริตต้องได้รับผลกระทบถูกตำหนิ และถูกมองในแง่ลบจนตกต่ำลงถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” นายแทนคุณ กล่าว
นายแทนคุณ กล่าวอีกว่า ความยุติธรรมที่ล่าช้า กลายเป็นความอยุติธรรมที่กำลังกลายเป็นความรุนแรงเชิงระบบรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสภาทนายความควรเร่งแก้ไข ไม่ใช่เพียงแค่ประณามผู้ใช้ความรุนแรง แต่ควรสืบหาและศึกษาพฤติกรรมยั่วยุของทนายความที่ทำให้เกิดความรุนแรง จนอาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสภาทนายความให้ความสำคัญ แต่กับทนายความในสังกัดของตนที่ถูกกระทำความรุนแรงจนละเลยความรู้สึกประชาชน ผู้ถูกกระทำจากทนายความและทำให้เข้าใจไปว่าเข้าข้างหรือปกป้องพวกเดียวกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงไปด้วยหรือไม่
นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า ตนจึงต้องการให้ ประธานสภาฯตรวจสอบการทำงานของสภาทนายความ เกี่ยวกับการดำเนินการกรณีเรื่องร้องเรียนมรรยาททนายความ เพื่อป้องกันไม่ให้มีทนายโจร หรือทนายมิจฉาชีพ คือ
1.ให้ทบทวนกระบวนการในการร้องเรียนมรรยาททนายด้วยการปกปิด และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นคู่ความกับทนายความเพื่อปกป้องสิทธิผู้กล่าวหาโดยเฉพาะกรณีเป็นประชาชนมิให้ถูกนำไปฟ้องกลับโดยควรส่งทนายของสภาทนายความ มาดูแลลูกความที่ถูกทนายความฟ้องในกรณีที่สภาทนายความนำข้อมูลไปเปิดเผยจนได้รับความเสียหาย
2.กรณีที่มีการนำข้อมูลต่างๆ ไปบอกต่อคู่ความเพื่อเรียกทรัพย์สินอื่นใดๆอันมิชอบ การยักยอกทรัพย์ของลูกความ การนำทรัพย์ของลูกความไปใช้ หรือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ให้ถือว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่นต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง เมื่อมีผู้ร้องเรียน หรือทางสภาทนายความทราบจากการนำเสนอของสื่อ ขอให้ให้ความสำคัญในการดำเนินการตรวจสอบหากพบว่ามีมูลขอให้ลบชื่อออกจากสารบบการเป็นทนายความโดยมิให้กลับมาเป็นทนายความได้อีกตลอดชีวิต
3.กรณีทนายความที่มีพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง มีพฤติกรรมคุกคาม ยุยงปลุกปั่นล่อลวงโน้มน้าวชี้นํา ให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม ศาสนาอันอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ขอให้สภาทนายความแก้ไขข้อบังคับของสภาทนายความให้สิทธิประชาชนในการเข้าชื่อกัน 10 รายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนและลบชื่อออก จากสารบบของทนายความตลอดชีวิต
4.กรณีการร้องเรียนมรรยาททนายความที่มีพฤติกรรมไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน พยานบุคคล กรณีแสวงหาผลประโยชน์กับกลุ่มเปราะบาง เด็กเยาวชน ผู้ป่วยจิตเวช ผู้พิการ ฯลฯเป็นต้น หรือการโพสต์ข้อความ การสื่อสารใดๆ ที่ทําให้เกิดความขัดแย้งเสียหายต่อผู้อื่น หรือมีลักษณะฟ้องกลั่นแกล้งไปฟ้องในที่ไกลๆ ขอให้ถือว่ามีเจตนากระทําการคุกคามสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขอให้สามารถลบชื่ออกจากสารบบของทนายความด้วย โดยสภาทนายความควรจัดหาทนายความขอแรง เพื่อช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มเปราะบางดังกล่าว มิให้ตกเป็นเครื่องมือของทนายความที่มีพฤติกรรมหลอกใช้ หลอกลวงเด็กเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง
5.ขอให้สภาทนายความฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทําของทนายความในสังกัดสภาทนายความและได้รับผลกระทบจากการทํางานที่ขาดความเข้าใจในสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้กล่าวหา โดยสภาทนายความจนต้องคดีความกับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ
6.ควรเคร่งครัดในกรณีที่พบพฤติกรรมของทนายความที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ข่มขู่ประจานหรือนําข้อมูลของตัวความที่เป็นคู่กรณีกับทนาย ไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่น หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ให้ถือเป็นความผิดร้ายแรงต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ
7.ในกรณีที่พบว่ามีทนายความที่กระทําความผิดและต้องเพิกถอนใบอนุญาตทนายความที่กระทําผิดและถูกลบชื่อออกจากทะเบียน โดยสภาทนายความฯ ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้เป็นสาธารณะ หรืออย่างน้อยที่สุด คือแจ้งให้ผู้ที่กล่าวหา หรือร้องเรียนได้รับทราบ เพื่อมิให้บุคคลที่ขาดคุณสมบัติยังคงแอบแฝง แอบอ้างและใช้คําว่า ทนาย เพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือ หลอกลวงประชาชนจนเกิดความเสียหายต่อไป และควรกําหนดคุณสมบัติด้านสุขภาพจิตของทนายความ โดยมีการให้ตรวจสุขภาพจิตทุกๆ 3 ปี เนื่องจากทนายความต้องอยู่กับการทําคดีความจําเป็นต้องมีการดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้ใช้กฎหมายหรือทัศนคติที่เป็นภัยต่อความยุติธรรม
นายแทนคุณ กล่าวด้วยว่า จากการกระทําของทนายความและเกิดจากความล่าช้าของสภาทนายความ โดยมีการฟ้องกลั่นแกล้ง และยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก นํามาซึ่งความไม่พอใจระหว่างศาสนิกชน 2 ศาสนา ทั้งพุทธและอิสลาม เพื่อเป็นการป้องปรามเหตุการณ์มิให้บานปลาย จึงได้นําหลักฐานการโพสต์ข้อความอันเป็นการกระทําที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดศรัทธา ศีลธรรมอันดี และเป็นภัยคุกคามความมั่นคงเพื่อมอบให้ท่านประธาน เพื่อพิจารณาดําเนินการตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่จะลุกลามบานปลาย กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างศาสนา ที่ไม่อาจระงับยับยั้งได้ทันหากสามารถพิจารณาว่า ควรมอบให้คณะกรรมาธิการใดในการเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาดังที่มีพี่น้องประชาชน ตนก็ยินดีเข้าพบเพื่อชี้แจงเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ทั้งโครงสร้างความยุติธรรม สิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพ สิทธิเด็ก สิทธิเสรีภาพในการนับถือและแสดงออกต่อศาสนาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางศาสนา
ด้านนายนายคัมภีร์ กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 เรื่อง คือสภาทนายความและการดำเนินการเรื่องหมิ่นเหม่ในศาสนา โดยจะให้ฝ่ายกฎหมายได้พิจารณา และนำเรียนประธานสภาฯ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และตนเห็นว่าเรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง ต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น
จากนั้นนายแทนคุณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้รับการประสานจากประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสภาทนายความ ในวันที่ 11 พ.ย. และวันที่ 12 พ.ย. จะยื่นเรื่องต่อประธานสภาฯ เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบทนายที่สร้างความแตกแยกระหว่างศาสนา
“ผมขอเตือนว่าหากทนายคนนี้ไม่หยุดสร้างความแตกแยกทางศาสนา ขอให้ระวัง ที่บอกว่าจะเตรียมปืนไว้ป้องกันตัว ผมไม่อยากคิดว่าเขาจะเตรียมอะไรไปด้วยบ้าง หากยังปากแซ่บอาจได้ลงไปกองกับพื้น ซึ่งผมไม่อยากให้เลยเถิด และเรื่องนี้สภาทนายความอย่าปัดความรับผิดชอบ เพราะเป็นความรุนแรงเชิงระบบ ผมทราบว่าสภาทนาความ รับเงินจากรัฐบาลปีละ 20 ล้านบาท แต่กลับไม่ทำงานเพื่อประชาชน หากปล่อยไป จะกลายเป็นความรุนแรงที่คาดไม่ถึง” นายแทนคุณ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี