ตำรวจ ปคบ.ส่งสำนวน2ลัง 18 แฟ้มคดีร้านทองแม่ตั๊ก ป๋าเบียร์ ตุ๋นเหยื่อ พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง ให้อธิบดีอัยการคดีอาญา พิจารณายื่นฟ้องศาลภายใน 15 พฤศจิกายน ขณะที่เคนโด้ นำกลุ่มผู้เสียหายยื่นคัดค้านการประกันตัวแม่ตั๊ก ป๋าเบียร์ เกรงออกมาข่มขู่พยาน ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน ลั่นไม่กังวลถูกดำเนินคดี ดิ โอคอนกรุ๊ป
เวลา 13.00 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน 2567ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ผบก.ปคบ.) พร้อมทีมพนักงานสอบสวน นำสำนวนการสอบสวนจำนวน 18 แฟ้มรวม 2 ลัง พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาคดีร้านทองแม่ตั๊ก ลวงเหยื่อซื้อทองปลอม ส่งมอบให้ นายสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา เพื่อพิจารณาสั่งคดีบริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด , นายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกรนก สุวรรณบุตร หรือแม่ตั๊กผู้ต้องหาที่ 1-3 ในความผิดรวม 5 ข้อหา ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ,ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ,ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ,ร่วมกันเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือผู้อื่น และโฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
พล.ต.ต.วิทยา ผบก.ปคบ.เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน สามารถรวบรวมพยานหลักฐานของผู้เสียหายชุดแรก จำนวน 36 คน ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ ซึ่งมั่นใจในพยานหลักฐาน และคาดว่าจะสามารถพิจารณามีความเห็นทันสั่งฟ้องภายในไม่เกินวันที่ 15 พฤศจิกายน นี้ ก่อนกรอบเวลาที่กำหนด
ส่วนรายละเอียดสำนวน ตำรวจได้ติดตามเส้นทางการเงิน และทรัพย์สินของผู้ต้องหา โดยสามารถอายัดทรัพย์ สิน ส่งไปยังคณะกรรมการป้งกันและปราบปการฟอกเงิน หรือปป.งง.แล้ว มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท แต่ยอมรับว่า จากการตรวจค้น กระเป๋าแบรนด์เนม กระเป๋าทอง ไม่พบอยู่ในที่เกิดเหตุ
ผบก.ปคบ.กล่าวอีกว่า สำหรับผู้เสียหายในเฟส 2 ขณะนี้พบผู้เสียหาย จำนวน 1,600 ราย และมีบางส่วน ทยอยเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน คาดว่าจะสามารถรวบรวมหลักฐานส่งให้พนักงานอัยการเพิ่มเติมได้ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
ด้านนายสัญจัย จันทร์ผ่อง อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า ทางพนักงานอัยการจะนำสำนวนไปพิจารณา เพื่อยื่นฟ้องผู้ต้องหาภายในการผัดฟ้องฝากขังครั้งสุดท้ายวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ และพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ยังไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดโดยจะนำสำนวนไปพิจารณาก่อน
วันเดียวกันนี้ว่า นายเกรียงไกรมาศ พจนสุนทร หรือเคนโด้ ผู้ประกาศข่าวได้นำกลุ่มผู้เสียหายที่หลงเชื่อซื้อทองจากร้านทองแม่ตั๊ก เข้ามายื่นเรื่องคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหากับพนักงานอัยการ พร้อมกับนำช่อดอกไม้มามอบให้เป็นขวัญกำลังใจแก่ชุดพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการพิจารณาคดีต่อไป
โดยเคนโด้กล่าวว่า ตนและกลุ่มผู้เสียหายมีความวิตกกังวลใจ ว่าถ้า ผู้ต้องหาอาจได้ประกันตัวออกมา จึงจะมายื่นเรื่องเพื่อคัดค้านการปล่อยชั่วคราว ด้วยเกรงว่าอาจจะออกมายุ่งเหยิงพยานหลักฐานและคุกคามผู้เสียหาย
โดยตนตั้งข้อสงสัยว่า ทรัพย์สินหลายรายการของผู้ต้องหาอย่างเช่น เงินสด2-3ล้าน กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ ตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่สามารถยึดทรัพย์มาได้ มีเพียงรถยนต์ไม่กี่คันเท่านั้น ดังนั้นหากผู้ต้องหาได้ประกันตัวออกมา ก็เหมือนมาเสพสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่น ทั้งนี้ขอถามเจ้าหน้าที่ว่าใครอมทรัพย์สินดังกล่าวไป หรือมีผู้อยู่เบื้องหลังคนใดนำทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้ อีกทั้งไม่ทราบว่าการดำเนินคดีฟอกเงินไปถึงขั้นตอนไหน ทำไม ไม่มีการกล่าวถึงการยึดทรัพย์ มันผิดวิสัยของการดำเนินคดี
เมื่อถามถึง กรณีที่นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ บอสพอล เตรียมดำเนินคดี กับนายเคนโด เพราะทำให้บริษัทดิไอคอนเสียหาย นั้น เคนโด้ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเองได้ให้ข้อมูลกับตำรวจไว้หมดแล้วว่าเรื่องดังกล่าว การเตรียมความพร้อมในการต่อสู้คดีหากโดนฟ้อง ก็มั่นใจในพยานหลักฐานที่สามารถจะหักล้าง กับการกล่าวหาของฝ่ายทนายได้ แต่จากการตรวจสอบไปยังพนักงานสอบสวน ยังไม่พบว่าเข้ามาแจ้งความเกี่ยวกับตนแต่อย่างใด พร้อมมองว่าการเปิดเผยของทนายบ้างครั้ง วิงวอนสื่อมวลชนอย่าให้ค่าหรือให้พื้นที่มากเกินไป กับทนายที่มีการข่มขู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อซื้อเวลาในการต่อสู้คดี และการกล่าวอ้างทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างมั่นใจควรต้องไปเจอกันที่ศาลไม่ใช่ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน
ส่วนเรื่องจะมีการออกหมายจับตนของตำรวจหรือไม่ ตนเองไม่ได้กังวล แต่ขอสื่อมวลชนอย่าตั้งคำถามชี้นำเพราะเหตุการณ์ต่างๆยังไม่เกิดขึ้น และคำถามดังกล่าวเป็นลักษณะของการปั่นกระแสที่จะทำให้ตนได้รับความเสียหาย หากตนผิดจริง ก็ไม่สามารถที่จะมายืนในจุดนี้ได้ และควรจะไปเรียกร้องกับกลุ่มบอส ดิไอคอน ให้มาชดใช้ให้ผู้เสียหายจะดีกว่า
ด้าน คุณเนย ผู้เสียหาย รายหนึ่ง กล่าวว่า ไม่อยากให้ผู้ต้องหาได้ประกันตัวและเห็นในโลกออนไลน์มีทีมที่คอยสนับสนุนแม่ตั๊กให้กำลังใจและขอวอนประชาชนสังคมอย่าให้อภัยหรือให้โอกาส โดยส่วนตัวตนมองว่า โอกาสของแม่ตั๊กมีมาตั้งนาน แต่ไม่ใช้ กับ นำมา เอาเปรียบประชาชน ขายของ โดยที่รู้ว่า จะทำให้ผู้อื่นเสียหาย ถ้าเกิด ผู้ต้องหา ได้รับการประกันตัว เกรงว่าจะมาคุกคามข่มขู่ผู้เสียหายที่ดำเนินการฟ้องร้องจนมาถึงขั้นตอนนี้ ส่วนตัวจึงมองว่าผู้ต้องหาทั้งหมดไม่ควรได้รับโอกาสออกมาสู้คดีข้างนอก แต่ควรที่จะชดใช้ในสิ่งที่ผู้ต้องหาทั้งหมดกระทำผิดข้างใน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับแม่ตั๊ก และป๋าเบียร์ ขณะนี้ทั้งสองยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัว
ด้านนายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า สำนักงานคดีอาญา สำนักงกงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนการสอบสวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ) คดีระหว่าง น.ส.วันวิสา ทองสุขกับพวก ผู้กล่าวหา บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1, นายกานต์พล เรืองอร่าม หรือเบียร์ ผู้ต้องหาที่ 2, น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือ แม่ตั๊ก ผู้ต้องหาที่ 3 ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น, ร่วมกันชายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" เหตุเกิดระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2563 ถึงวันที่ 23 สิงหาคม 2567ต่อเนืองกัน ในท้องที่แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม.และหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่างกรรมต่างวาระกัน
ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 2 และที่ 3 ถูกควบคุมตัวและฝากขังไว้ตามคำสั่งศาลอาญา โดยจะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 4 ในวันที่ 17 พ.ย.2567 โดยพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาที่ 1, 2 และ 3 ฐาน"ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่น อันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรร้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น, ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยไม่ได้รับอนุญาต " ตามประมวลกฎหมายอาญาตรา 343, 83, 91 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พุทธศักราช 2550 มาตรา 14 (1) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 มาตรา 22,30, 47, 52 พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว และมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสาม ฐานร่วมกันขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพคุณภาพ หรือปริมาณ แห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจติดตามความคืบหน้า เมื่อพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้องพิจารณาสำนวนแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงความคืบหน้าให้ทราบต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี