คอตก!ศาลอาญาไม ให้ประกัน
‘ทนายตั้ม-เมีย’นอนคุก
เปิดพฤติการณ์โกง100ล.
ตุ๋น‘เจ๊อ้อย’หลายวาระ
หวยออนไลน์-รถเบนซ์
ออกแบบสร้างโรงแรม
พนักงานสอบสวนกองปราบฯ คุมตัว“ทนายตั้ม”พร้อมเมีย ไปขออำนาจศาลอาญารัชดาฝากขัง เปิดพฤติการณ์ตุ๋น“เจ๊อ้อย” ทั้งลงทุนหวยออนไลน์ รถเบนซ์หรู ค่าออกแบบสร้างโรงแรม ยอด 100 กว่าล้าน ตำรวจค้านประกันร่ายเหตุผลยาว เป็นทนายมีความรู้ทำผิดหลายครั้งเป็นปกตินิสัย ส่วนเมียเป็นผู้ใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ ทอนความเชื่อถือตำรวจ ขู่พยาน ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟก่อนตำรวจค้น ขับรถมุ่งชายแดน หวั่นได้ปล่อยตัวจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ทนายยื่น 5 แสนขอประกันเมีย ศาลไม่อนุญาตตามคำร้อง สุดท้ายเจ้าหน้าที่คุมตัวเข้าเรือนจำทั้งคู่
จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัว นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง, ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 7 พฤศจิกายน ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
เมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย. ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัว นายษิทรา พร้อม นางปทิตตา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป. โดยก่อนที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า “ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่” เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที
มีรายงานว่า ในช่วงเช้า ญาติของ นายษิทรา และนางปทิตตา ได้เดินทางเข้าเยี่ยม 2 ผู้ต้องหา เป็นเวลาเกือบ 1 ชม. ก่อนจะเดินทางกลับในเวลา 10.05 น. และไม่ตอบคำถามสื่อแต่อย่างใด
“ครูปรีชา”หิ้วกาแฟ-ข้าวผัดเข้าเยี่ยม
เวลา 10.40 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) นายปรีชา ใคร่ครวญ หรือครูปรีชา คู่คดีหวย 30 ล้าน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนบก.ปปป. เพื่อคัดสำนวนคดีหวย 30 ล้าน พร้อมนำกาแฟและข้าวผัดมาเยี่ยมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา 2 ผู้ต้องหาคดีที่น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ร้องเอาผิดกรณีเงิน 71 ล้านบาท โดยยืนยันว่ามาด้วยกัลยานิมิตร และความเป็นพี่น้อง จึงมาส่งกำลังใจให้กับทางทนายตั้มและภรรยาให้สู้ให้เต็มที่ และเป็นกำลังใจให้กับเจ๊อ้อยด้วย เพราะตนกับเจ๊อ้อยถูกกระทำไม่ต่างกัน ย้ำไม่ได้มีความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ทนายตั้ม และไม่ได้มาเยาะเย้ย แต่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรมที่เกิดจากการกระทำของตนเอง
ตร.พาตัว’ทนายตั้ม-เมีย’ฝากขัง
เวลา 13.30 น. พนักงานสอบสวน บก.ป.คุมตัวนายษิทรา พร้อมนางปทิตตา ขึ้นรถตู้ 1 คัน โดยมีรถตำรวจนำขบวน 1 คัน เพื่อไปฝากขังยังศาลอาญารัชดาตามขั้นตอนทางกฎหมาย โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหา นายษิทราสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สวมกางเกงยีนส์ ส่วนภรรยาสวมเสื้อยืดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำพร้อมสวมหน้ากากอนามัย ทันทีที่เดินออกมาจากตัวอาคารประชาอารักษ์ ทนายตั้มได้ยกมือไหว้กับกองทัพสื่อมวลชน และไม่ได้กล่าวอะไรกับผู้สื่อข่าวที่พยายามสอบถามในหลายประเด็น
ไม่ยื่นขอประกันตัว
นายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา หรือทนายตั้ม และนางปทิตตา เปิดเผยว่า วันนี้ตนจะไม่ยื่นคำร้องขอประกันตัวนายษิทราม โดยให้เหตุผลว่า ที่ศาลอาญา หากเป็นคดีใหญ่ มีความเสียหายค่อนข้างสูงแบบนี้ และมีการระบุพฤติกรรมในหมายจับว่ายุ่งเหยินกับพยานหลักหลักฐานและพยายามหลบหนีรวมถึงปล่อยข่าวว่าเตรียมหลบหนี ซึ่ง 3 องค์ประกอบดังกล่าว หากไม่มีพยานหลักฐานที่มากพอสมควร หากยื่นคำร้องขอประกันตัว โอกาสก็แทบจะเป็นศูนย์ ดังนั้นนายษิทรา จึงยืนยันว่าจะไม่ขอยื่นประกันตัวในชั้นศาลวันนี้ แต่ทางทีมทนายจะยื่นคำร้องขอประกันตัวนางปทิตตา ส่วนจะใช้หลักทรัพย์เท่าไหร่นั้น อยู่ระหว่างสอบถามกับทางศาล ส่วนศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ทนายยันไม่มีพฤติกรรมหลบหนี
นายสายหยุด ยืนยันว่า นายษิทราไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด ซึ่งวันที่ถูกจับกุมทนายตั้มและภรรยาเตรียมเดินทางไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา เพราะที่ผ่านมาจากการพูดคุยทราบว่าทนายตั้ม มีการสวมชุดสูทนอนอยู่บ้านถึง 5 วัน เพราะไม่อยากถูกตำรวจจับกุมขณะสวมใส่ชุดนอนเหมือนใครบางคน ส่วนการที่จะบอกว่านายษิทราไม่ผิดนั้น จากการพูดคุยทราบว่าอาจเป็นการยืมเงินและเป็นความผิดแพ่งหรือไม่ เพราะคดีฉ้อโกงกับแพ่ง เป็นเพียงเส้นบางๆของข้อกฎหมาย
“ทนายเจ๊อ้อย”ค้านประกัน“ตั้ม-เมีย”
ด้าน นายสมชาติ พินิจอักษร หรือทนายเล็ก ทนายความของนางจตุพร หรือ “เจ๊อ้อย” ผู้เสียหาย ได้เดินทางมาที่ศาลเช่นกัน โดยได้เปิดเผยว่า วันนี้ตนเดินทางมายื่นคัดค้านการประกันตัวของนายษิทรา และภรรยา ซึ่งคำคัดค้านจะมีน้ำหนักหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล แต่เหตุผลที่คัดค้าน เนื่องจากนายษิทรามีพฤติกรรม ขับรถมุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออก มุ่งหน้าชายแดน ตามที่ปรากฏในสื่อ อีกทั้งกังวลว่าหากได้รับการปล่อยตัวเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน แม้ว่าพยานหลักฐานจะเป็นนิติวิทยาศาสตร์แต่ก็มีบางส่วนที่ตามหลักการแล้วจะต้องเป็น พยานบุคคล จึงทำให้ ต้องคัดค้านการประกันตัว ทั้งนี้หลังจากที่ทนายตั้มถูกออกหมายจับ ทางเจ๊อ้อยไม่ยินดียินร้าย เสียใจ โดยยึดอุเบกขาเป็นที่ตั้ง
ตร.พา“ทนายตั้ม-เมีย”ไปฝากขัง
เวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ข้อหา ฉ้อโกง , ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และ นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยา ผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
เปิดพฤติการณ์โกง“เจ๊อ้อย”หลายวาระ
คำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ
1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร หรือ พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
งาบส่วนต่างรถเบนซ์1.5ล้าน
2.ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาทและมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาทโดยไม่มีราคาติดฟิล์มทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ เป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
กินนิ่มค่าเขียนแบบรร.5.5ล้าน
3.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท จนผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
ความผิดฐานฉ้อโกงเข้าข่ายฟอกเงิน
การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน
1.หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
2.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ค้านประกันหวั่นหลบหนี-ยุ่งพยาน
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือแต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกันย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางปะทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อ พนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
เชื่อมีพฤติการณ์หลบหนี
จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือและพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไปและขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2
การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อนทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆอยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
อัตราโทษ-มูลค่าความเสียหายสูง
ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐานและจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตามมีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราวโดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวเกณฑ์จะหลบหนีซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลอนุญาตให้ฝากขัง
ศาลอาญาพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตฝากขังได้ตามคำร้อง
ต่อมา นายสายหยุด เพ็งบุญชู นายความ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท ขอประกันตัวนางปทิตตา ผู้ต้องที่ 2 พร้อมยื่นเงื่อนไขต่อศาล ขอติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (กำไลEM ) รวมทั้งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และจะมารายงานตัวตามนัดของศาลทุกครั้ง.
ไม่ให้ประกัน-ส่งตัวเข้าเรือนจำ
อย่างไรก็ตาม ศาลอาญา พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี พนักงานสอบสวนคัดค้านเกรงจะหลบหนี ยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน และผู้เสียหายคัดค้านเกรงจะหลบหนีไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายคืน ประกอบกับต้องทำการสอบสวนพยานอีก 10 ปาก กรณีอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนได้ และเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต้องปกป้องกระบวนการแสวงหาข้อเท็จจริงเข้าสู่สำนวนคดี ในชั้นสอบสวนนี้จึงมีเหตุอันสมควรที่จะรอฟังผลให้เสร็จสิ้นก่อน ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 2 ยกคำร้อง
จากนั้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายษิทรา และนางปทิตตา ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี