เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ สมาพันธ์และภาคประชาชน รวม 47 องค์กร รวมตัวกันยื่นหนังสือถึงรัฐบาล ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ที่จะนำเข้า ครม.ในวันพรุ่งนี้ ( 12 พ.ย.)
วันที่ 11 พ.ย.2567 ที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ได้มีกลุ่มชาติพันธุ์ สมาพันธ์และภาคประชาชน รวม 47 องค์กร จำนวน 800 คน ได้รวมตัวกันแสดงออกเชิงสัญญลักษณ์ พร้อมกับยื่นหนังสือคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพย์ยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ที่จะมีการนำเข้า ครม.ในวันพรุ่งนี้ (12 พ.ย.) เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอนุญาตใช้ที่ดินในกรอบระยะเวลา 20 ปี ครอบครัวละไม่เกิน 20 ไร่ ซึ่งเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายเพื่อลดการใช้ที่ดินและนำไปสู่การไล่คนออกจากป่า เป็นการละเมิดสิทธิ์ประชาชนที่รัฐละเลยตามหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิคนพื้นเมืองที่นานาประเทศได้ลงนามไว้
นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวไม่สามารถแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่ดินในเขตอนุรักษ์ ระหว่างรัฐกับประชาชนได้ แต่กลับจะทำให้ข้อพิพาททวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในป่า อนุรักษ์กว่า 4 พันชุมชน ถูกกดขี่รังแก
นายสมศักดิ์ เสกสรรวรกุล ประธานกลุ่มท่องเที่ยวดอยอินทนนท์ ระบุว่า จึงเรียกร้องให้รัฐบาลต้องยุติการนำร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ ตามมาตรา 64 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และร่างพระราชกฤษฎีกาโครงการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งหากการคัดค้านไม่เป็นผล ก็จะส่งผลถึการยุติความร่วมมือกับภาครัฐในการแก้ปัญหาการบุรุกป่าและไฟป่า ในอนาคต
โดยตัวแทนกลุ่มเครือข่ายต่างๆ ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล ผ่านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งด่วนถึงรัฐบาลให้ทันภายในวันนี้ ก่อนที่จะมีการนำเข้า มติ ครม.ในวันพรุ่งนี้
จากนั้น แกนนำกลุ่มต่างๆ ได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นอ่านแถลงการณ์ร่วมหยุดพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์ โดยระบุว่า พวกเราในฐานะผู้บุกเบิก และผู้ดูแลรักษาป่าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุก และผู้ทำลายป่า แต่ก็ได้ยืนยันสิทธิและร่วมต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมมาโดยตลอด นอกจากนั้นที่ผ่านมาหลายชุมชนยังได้ร่วมกันดูแลรักษาและปกป้องผืนป่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และหน่วยงานต่างๆในพื้นที่ ทำให้ปัจจุบันสภาพป่าได้ฟื้นตัวและมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม แต่ภัยคุกคามใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ คือความพยายามของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ที่เร่งผลักดันร่างพระราชกฤษฎีกาป่าอนุรักษ์ภายใต้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ให้มีผลบังคับใช้ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 12 พฤศจิกายนนี้ โดยเนื้อหาในร่างพระราชกฤษฎีกา ทั้ง 2 ฉบับ เต็มไปด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชน เปลี่ยนประชาชนผู้บุกเบิกให้กลายเป็นผู้บุกรุก สอดแทรกแนวทางการยึดที่ดินของประชาชน บีบบังคับจำกัดสิทธิ์การถือครองที่ดิน และยังรวบอำนาจผูกขาดการจัดการทรัพยากรธรรมชาติไว้ที่หน่วยงานป่าไม้เท่านั้น แนวทางดังกล่าวเป็นการผลักคนออกจากป่าไม่ต่างจากอดีตที่ผ่านมา
จึงขอประณามการกระทำดังกล่าว ที่พยายามผลักดันกฎหมายอนุรักษ์อันล้าหลังและอำนาจนิยม มากดขี่ประชาชนโดยไม่สนใจกระแสโลกที่เปลี่ยนไปสู่การกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ชุมชนท้องถิ่น แม้ประเทศไทยจะเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยแล้วก็ตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี