ชาวบ้านแห่ร้องสื่อฝากเงินกับสหกรณ์ฯคลองขลุง แต่กลับถอนไม่ได้รวมแล้วกว่า 20 ล้าน ตอนนี้สมาชิกเครียดหนักเพราะเป็นเงินเก็บทั้งชีวิต แต่กลับไร้วี่แววได้เงินคืนวอนหน่วยงานรัฐช่วย ขณะที่ผู้จัดการฯ ยอมรับตอนนี้ขาดสภาพคล่องหนัก เตรียมขายที่ดินกว่าพันไร่นำเงินมาเยียวยาสมาชิก คาดจะมีความชัดเจนภายใน 31 มีนาฯปีหน้า ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องคืนไปยังสมาชิก ไม่มีการโกงแน่นอน
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ชาวบ้านในพื้นที่ ม.5 ต.ท่ามะเขือ และ ม.1 ต.หัวถนน อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร กว่า 30 คน ที่เป็นสมาชิกเงินฝากของสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จ.กำแพงเพชร ได้รวมตัวเข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน หลังจากที่แต่ละรายได้นำเงินเข้าไปฝากและไม่สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ โดยได้นำสมุดบัญชีเงินฝากของแต่ละรายมารวมกันมียอดเงินที่ไม่สามารถขอถอนได้รวมกว่า 20 ล้านบาท
โดยที่ผ่านมาได้พยายามขอถอนเงินแต่ถูกบ่ายเบี่ยงและให้ลงชื่อเพื่อต่อคิวถอนเงินแต่ก็ยังไม่ได้รับเงิน บางรายขอถอนเงินหลักเเสนบาท แต่พอถึงวันรับเงินกลับได้หลักหมื่นและพันบาท โดยชาวบ้านบางรายนำเงินที่หามาทั้งชีวิตมาฝากไว้ตั้งแต่ ปี 2557 จนถึงปัจจุบันมียอดฝากกว่า 3.7 ล้านบาท ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถอนเงินมาใช้ได้ ซึ่งทุกวันนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับป่วยเข้าโรงพยาบาลหลายรอบบางรายเกิดอาการเครียดจนซึมเศร้าและอยากฆ่าตัวตาย จนสุดท้ายไม่มีที่พึ่งจนต้องร้องสื่อถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ช่วยเหลือ ขณะที่บางคนนำบัญชีเงินฝากของคนในครอบครัวที่ไม่สามารถขอเบิกเงินได้มาโชว์พบว่ามียอดรวมกว่า 5,874,000 บาท โดยก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าจะเบิกเงินได้เมื่อไหร่
นอกจากนี้ชาวบ้านได้ให้ข้อมูลว่าช่วงแรกตั้งแต่ปี 2557 ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกเงินฝากของสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 5.25 ต่อปี และต่อมาได้ปรับลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 3.50 บาท ต่อปี โดยไม่ใช่เป็นการฝากเงินประจำและสามารถถอนเงินได้ตามปกติ ซึ่งก็มีสมาชิกอีกกลุ่มที่สามารถกู้เงินไปลงทุนทำการเกษตรและอาชีพอื่นๆได้และต้องเสียงดอกเบี้ยตามปกติของสถานบันการเงิน โดยทั้งหมดได้รวมตัวกันไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันดำเนินคดีไว้ที่ สภ.คลองขลุง แล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค.2567 โดยชาวบ้านบางส่วนได้ร้องไปยังศูนย์ดำรงธรรมเพื่อให้สหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดให้การช่วยเหลือหาทางออก
นางฉ่ำ อยู่โต อายุ 71 ปี อยู่บ้านเลขที่ 7 ม.5 ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า ตั้งแต่สหกรณ์การเกษตรคลองขลุงก่อตั้งขึ้นมา ตนก็นำเงินไปฝากต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันรวมยอดกว่า 3.8 ล้านบาท และช่วงหลังตนได้ไปขอถอนเงินสดแต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีเงินให้ถอนและไม่มีกำหนดที่จะได้เงิน ตนต้องการถอนเงินไปซื้อที่ดินทำนา แต่พอมาเจอแบบนี้ก็ทุกข์หนักเข้าไปอีก ซึ่งก็ได้ไปแจ้งความกับตำรวจและตั้งทนายฟ้องร้อง
นางมาลัย พิลึก อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42 ม.5 ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า ตอนนี้ตนและครอบครัวญาติพี่น้องรวม 4 คน ได้นำเงินไปฝากรวมกันเกือบ 6 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2559 และไม่สามารถถอนเงินมาใช้ได้ โดยได้รับคำตอบว่าไม่มีเงินให้ถอน จนตนเองกินไม่ได้นอนไม่หลับเครียดกับเรื่องดังกล่าวมาก เพราะไม่ใช่เงินของตนเพียงคนเดียว ซึ่งก็คงต้องพึ่งทนายอาสาให้ช่วยเหลือชาวบ้านด้วยหลังว่าจะได้เงินคืนมาบ้างก็ยังดี
นายกฤษติศักดิ์ ปองผดุง อายุ 63 ปี อดีตข้าราชเกษียณ อยู่บ้านเลขที่ 58/1 ม.1 ต.หัวถนน อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า คนในหมู่บ้านตนมีคนฝากเงินรวมหลาย 10 ล้านบาท ซึ่งก็ไปถอนเงินต้นพร้อมดอกร้อยละ 3.50 บาท ช่วงแรกก็ได้มา แต่หากถอนจำนวนมากๆกลับถูกบอกว่าไม่มีเงิน ได้มาครั้งละ 1-2 หมื่นบาท และช่วงหลังมาก็ไม่มีให้ ตนได้กู้เงินบำเหน็จ บำรุงชีพ มาเพื่อฝากกินดอกแต่กลับเจอแบบนี้ก็ลำบากเพราะต้องชำระเงินที่กู้มาฝากเดือนละ 5,800 บาท
นางลำชวน ศรีแพ่ง อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 22 ม.5 ต.ท่ามะเขือ อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร เล่าว่า ตนทำเรื่องขอถอนเงินที่ฝากไว้กับสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จนเลื่อนนัดจนถึง 3 ครั้ง ก็ยังไม่ได้ โดยล่าสุดแม้ค่าไฟของสหกรณ์เองก็ยังไม่มีจ่าย ตนฝากเงินที่หามาทั้งชีวิตหวังว่าจะได้ดอกเบี้ยกินบ้าง ตนฝากขอความช่วยเหลือจาก ทนายรณณรงค์ แก้วเพชร ให้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านบ้างยอดที่ตนฝากไปล้านกว่าบาทก็ยังไม่ได้ ทำใหัทุกข์ใจเครียดกลัวเส้นเลือดสมองแตกตายแล้ว
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายอดิศักดิ์ ฟักแฟง ผู้จัดการใหญ่ สหกรณ์การเกษตรคลองขลุง ได้ให้ข้อมูลว่า สหกรณ์การเกษตรคลองขลุง เป็นสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก่อตั้งเมื่อปี 2513 ทำธุรกรรมปล่อยกู้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกว่า 3,300 ราย และมีลูกค้าเงินฝากอีกจำนน 150 ล้านบาท โดยในปี 2541 - 2557 ได้ขยายธุรกิจปล่อยเงินกู้ให้สมาชิกกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2559 สหกรณ์การเกษตรคลองขลุง ได้ขอขยายเงินกู้ให้สมาชิกจากแหล่งเงินทุน (ธกส.) แต่วงเงินกู้เต็มจำนวน จึงได้ระดมทุนจากสมาชิกสหกรณ์กว่า 400 ล้านบาท
ต่อมาในปี 2566 สหกรณ์การเกษตรคลองขลุงเริ่มขาดสภาพคล่อง เพราะสมาชิกประสบภัยจากพิษเศรษฐกิจราคาพืชผลตกต่ำ ต้นทุกการผลิตสูง และสถานการณ์โควิดที่ระบาด ทำให้สมาชิกส่วนใหญ่ไม่สามารถชำระหนี้คืนให้กับสหกรณ์การเกษตรคลองขลุงได้ อีกทั้งมีค่านิยมเข้าไปเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อหวังว่าแก้ไขหนี้แทนเกษตรกรที่ประสบปัญหา จำนวน 921 ราย หนี้ค้างชำระ 432 ล้านบาท ส่งผลให้สหกรณ์ไม่ได้รับการชำระหนี้จากสมาชิกและขาดทุนกว่า 97 ล้านบาท (ในปีบัญชี 31 มี.ค.2566) เพราะถูกตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัดกำแพงเพชร
นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า จากผลกระทบดังกล่าวสมาชิกของสหกรณ์ขาดศรัทธาจึงพากันถอนเงินที่ฝากไว้อย่าต่อเนื่องและไม่ได้คืนครบจำนวน และได้บางส่วน จนทำให้สหกรณ์การเกษตรคลองขลุงขาดสภาพคล่องตามไปด้วย และสมาชิกที่เหลืออีก 1,000 ราย พากันไม่ชำระหนี้คืนทำให้ขาดสภาพคล่องหนักมากยิ่งขึ้น โดยแนวทางแก้ไขเยียวยาผู้ที่เดือดร้อนที่จะเร่งดำเนินการคือ จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ธกส. หน่วยงานภาครัฐ กรมส่งเสริมสหกรณ์ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) และทีมกฎหมายเร่งติดตามหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ และลูกหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมประสานกองทุนฟื้นฟุฯ และ ธกส.เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน และรองบสนับสนุนจากภาครัฐ โดยคาดว่าจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้ภายใน 31 มี.ค.68 หรือเร็วกว่านั้น
"ปัญหาจากการถอนเงินของสมาชิกที่ฝากเงินและไม่สามารถถอนเงินได้ในขณะนี้นั้น เกิดจากปัญหาที่ทางสหกรณ์ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาหมุนเวียนได้เพียงพอ และเกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และพิษทางการเมือง พร้อมทั้งสมาชิกที่เป็นหนี้กว่า 70% ไม่ยอมใช้หนี้เงินกู้คืน ซึ่งสหกรณ์ไม่มีเงินใช้หนี้เจ้าหนี้ซึ่งเจ้าหนี้คือธนาคาร ธกส. ที่เราเป็นหนี้กว่า 500 ล้านบาท ที่ไม่ได้จ่ายคืน ในส่วนของกองทุนฟื้นฟูที่เข้ามาจัดการหนี้ให้กับ ธกส. ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอน ซึ่งเมื่อเราไม่ได้เงินกู้จาก ธกส. มาแก้ไขสภาพคล่อง เราจึงตั้งกองทุนสำรองขึ้นมา จนขาดทุนสะสมสมาชิกไม่ได้เงินปันผล ทำให้ขาดศรัทธาจนทวีความรุนแรงมากขึ้น"นายอดิศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อเราออกติดตามหนี้สินจากสมาชิกที่ค้างชำระ จนทำให้มีปัญหาการฟ้องร้องกับสมาชิกมากขึ้น จนได้เงินเข้ามาจัดการได้บ้าง และปรับลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลง เรายังมีทรัพย์สินที่เป็นที่ดินกว่า 10,000 ไร่ เราพร้อมจะระบายทรัพย์สินที่มีอยู่เพื่อนำไปใช้หนี้เงินฝากที่สมาชิกนำมาฝาก และมีปัญหาตอนนี้เร่งด่วนคาดว่าไม่เกิน 40 ล้าน ส่วนที่ทยอยถอนไปก็ประมาณ 300 กว่าล้าน ซึ่งก็ได้มีการสื่อสารกับสมาชิกเพื่อปรับแผนคืนเงินฝากไม่ให้ส่งผลกระทบ โดยจากนี้จะเร่งเปิดการเจรจาเพื่อหาทางออกกับทุกฝ่ายให้เร็วที่สุด และจะมีความชัดเจนภายใน 31 มีนาคม 2568 อย่างแน่นอน
"วันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 นี้ จะพูดคุยกับ 4 หน่วยงาน เพื่อหาแหล่งเงินทุนและการตรวจสอบสะสางความมั่นคงโปร่งใส โดยตนยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการทุจริต ยืนยันว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะต้องคืนไปยังสมาชิกและดำเนินไปตามแผนอย่างแน่นอน ในหลักซื่อสัตย์ ประหยัด อดทน"นายอดิศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี