เปิดรายละเอียดคำพิพากษาศาลฎีกายืนยกฟ้องคดียื่นฟ้อง"พระมหาสังคม" อดีตผช.เจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กับพวกกรณีเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ชี้สอบสวนไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อท 205/2561 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้องพระเมธีสุทธิกร หรือ พระราชอุปเสณาภรณ์ หรือ พระมหาสังคม หรือ สังคม ญาณวฑฒโน หรือ นายสังคม สังฆะพัฒน์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นศาลที่ใช้ระบบไต่สวน ศาลมีอำนาจสั่งให้รวบรวมพยานหลักฐาน หรือไต่สวนเพิ่มเติมและสั่งให้แก้ไขฟ้องให้ถูกต้องได้ การที่โจทก์สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมภายหลังจากที่ยื่นคำฟ้องต่อศาลแล้วถือเป็นการค้นหาความจริงเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนขึ้น และถือว่ามีการสอบสวนในความผิดของจำเลยทั้งสามตามที่ได้มีการกล่าวหาเพิ่มเติมแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องตามข้อเท็จจริงที่ได้ความจากการสอบสวนเพิ่มเติมเป็นการที่ศาลใช้อำนาจตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์แห่งคดีและอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 15 วรรคสาม นั้น
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าแม้การพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบจะใช้ระบบไต่สวนซึ่งศาลมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงได้เองแต่กรณียังคงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 120 ที่นำมาใช้บังคับแก่คดีนี้ด้วยตามมาตรา 6 แห่งพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้อัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน" ดังนี้ ถ้าพนักงานอัยการ ฟ้องคดีโดยไม่ได้มีการสอบสวนก่อน หรือมีการสอบสวนแล้ว แต่การสอบสวนไม่ชอบ ซึ่งต้องถือว่าไม่มีการสอบสวนเช่นกัน การฟ้องย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง และตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา15 วรรคสาม บัญญัติว่า "กรณีที่ศาลเห็นว่าฟ้องไม่ถูกต้องให้ศาลมีอำนาจสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง"
ดังนี้ การที่ศาลจะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตามบทบัญญัติดังกล่าวได้นั้น ฟ้องเดิมจะต้องเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นกรณีที่ฟ้องเดิมไม่สมบูรณ์โดยไม่บรรยายคำฟ้องให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น คดีนี้เดิมโจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่า ในปีงบประมาณ 2557 นาย น. ผู้อำนวยการสำนักงาน พระพุทธศาสนา กับเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชารวม 5 คน ได้ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการทำเรื่องอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จำนวน 72,000,000 บาท ให้แก่วัดต่าง ๆ รวมทั้งวัดสระเกศฯ ซึ่งเป็นวัดที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณ 10,000,000 บาท อันไม่ชอบ ด้วยหน้าที่โดยทุจริต เพื่อเกิดความเสียหายแก่สำนักงานพระพุทธศาสนา โดยวัดที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าวจะต้องเป็นวัดที่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา แต่วัดสระเกศฯไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินงบประมาณดังกล่าว
การที่สำนักงานพระพุทธศาสนาอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้แก่วัดสระเกศฯจึงเป็นการอนุมัติจัดสรรเงินงบประมาณโดยไม่ชอบด้วยระเบียบและกฎหมาย เป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความติดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่นซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(5) หลังจากนั้นจำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำการฟอกเงิน โดยจำเลยที่1-2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนเงินงบประมาณดังกล่าวออกจากบัญชีเงินฝาก รวม 6 ครั้ง ซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐานไปใช้จ่ายเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยจำเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้ว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินงบประมาณแผ่นดินที่อนุมัติเพื่อนำไปใช้สนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาและเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการอันเป็นการร่วมกันโอน รับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐาน เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มาการโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด
จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องแล้วยื่นคำให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมีใจความสรุปได้ว่า ปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 วัดสระเกศฯ ไม่ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนการ จัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และไม่เคยได้รับเงินงบประมาณดังกล่าวตามที่โจทก์ฟ้อง รวมทั้งไม่มีการนำเช็คธนาคาร จำนวน 10ล้าน บาท ของสำนักงานพระพุทธศาสนา เข้าบัญชีเงินฝากของวัดสระเกศฯ แต่วัดสระเกศฯยื่นขอรับเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาที่รวมถึง การบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เงินงบประมาณ 10 ล้านบาท ที่มีการโอนเข้าบัญชีเงินฝากของวัดสระเกศฯสืบเนื่องมาจากวัดสระเกศฯได้ทำหนังสือขอรับเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริม คุณธรรม จริยธรรม และการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ตามหนังสือขอรับเงินอุดหนุนฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม58 ไม่ใช่เงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ประจำปีงบประมาณ 2557 ตามที่โจทก์ฟ้อง
การที่จำเลยที่1-2 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของวัดเป็นการนำไปใช้เพื่อ พัฒนากิจการพระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นการฟอกเงินตามที่โจทก์ฟ้อง
ต่อมาวันที่ 8 มกราคม62 โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องว่า โจทก์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีข้อผิดหลงอันเป็นรายละเอียดเพียงบางส่วนซึ่งต้องแถลงในคำฟ้อง จำเป็นต้องขอแก้ไขฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบและหลงต่อสู้
โจทก์ยื่นคำฟ้องฉบับใหม่ลงวันที่ 24 มกราคม62 โดยมีการแก้ไขฟ้องหลายแห่งรวมทั้งแก้ฟ้องในส่วนของ ผู้กระทำความผิดมูลฐาน เป็นแก้ฟ้องเกี่ยวกับพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจากเป็นว่า นาย พ. กับพวกได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2558 และแก้ฟ้องเกี่ยวกับหมายเลขเช็คซึ่งในสำนวนการสอบสวนเดิมระบุว่า สำนักงานพระพุทธศาสนา สั่งจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ให้แก่ วัดสระเกศฯ
เป็นว่า สำนักงาน พระพุทธศาสนา สั่งจ่ายเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการ ศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนาให้แก่ วัดสระเกศฯ ประจำปีงบประมาณ 2558 เป็นเช็คธนาคาร ก.เลขที่ 10029545 หลังจากจำเป็นทั้งสามได้รับสำเนาคำฟ้องฉบับใหม่แล้วได้ยื่นคำให้การฉบับใหม่คัดค้านการขอแก้ฟ้องของโจทก์ว่า การขอแก้ฟ้องของโจทก์และคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา161 เป็นการแก้ฟ้องที่ทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบ
หลังจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้และจำเลยทั้งสาม ยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์แล้ว ข้อที่โจทก์ขอแก้ฟ้องส่วนความผิดมูลฐานโดยเปลี่ยนตัวผู้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจาก นาย น. กับพวก เป็น นาย พ. กับพวก และในส่วนพฤติการณ์การกระทำความผิด ว่า มีการทุจริตอนุมัติเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา มีใช่การอนุมัติเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ซึ่งเป็นเงินงบประมาณคนละโครงการกัน และคนละปีงบประมาณ ทั้งเช็คที่สั่งจ่ายโอนเข้าบัญชีเป็นฝากของวัดสระเกศฯก็เป็นคนละฉบับกัน ความผิดมูลฐานตามฟ้องเดิมและที่ขอแก้ไขจึงต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีจึงเป็นการแก้ไข ข้อเท็จจริงอันเป็นพฤติการณ์แห่งคดีในส่วนความผิดมูลฐานที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นสาระสำคัญแก่คดี หาใช่เป็นเพียงการขอแก้ไขรายละเอียดเพียงบางส่วน ซึ่งต้องแถลงในฟ้องให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงดังที่โจทก์อ้างมาในคำร้องขอแก้ฟ้องไม่ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องจึงไม่ถูกต้อง รวมทั้งการสอบสวนเพิ่มเติมจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 143 วรรคสอง (ก) ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาเห็นว่ากรณีไม่อาจถือได้ว่าการกระทำความผิดที่โจทก์ขอแก้ฟ้องได้ผ่านกระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนของกฎหมายมาโดยชอบก่อนฟ้องคดีแล้ว เมื่อมิได้มีการสอบสวนในความผิด ที่แก้ฟ้องมาโดยชอบโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และกรณีหาใช่เรื่องที่ศาลมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องได้ดังทีโจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี