“จุลพันธ์” รมช.คลังเผยยอดโอนเงิน 1 หมื่นบาทซ้ำ ครั้งที่ 2 พบโอนไม่สำเร็จ 43,699 ราย ขอให้กลุ่มตกหล่น รีบผูกพร้อมเพย์ก่อน 16ธันวาคมนี้ ด้าน “เพื่อไทย” ยันแจกเงินหมื่นเฟส 2 ไม่เกี่ยวใกล้ช่วงเลือกตั้งนายกอบจ.อย่าจับแพะชนแกะยันเป็นนโยบายรัฐบาล-ปรับดำเนินให้เหมาะสม ตามข้อเสนอแนะ
เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงภาพรวมการโอนเงิน 10,000 บาท โครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตในรอบจ่ายซ้ำ (Retry) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 โดยมีการโอนไปแล้วทั้งสิ้น 73,967 ราย แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 59,568 ราย และผู้พิการ 14,399 ราย ว่าในจำนวนดังกล่าว โอนสำเร็จแล้ว 30,268 ราย และโอนไม่สำเร็จอีก 43,699 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 39,399 ราย และผู้พิการอีก 4,300 ราย ซึ่งสาเหตุหลักของการโอนเงินไม่สำเร็จ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้มีสิทธิ์ยังไม่ผูกบัญชีพร้อมเพย์ 40,157 ราย รองลงมาคือ บัญชีธนาคารของผู้มีสิทธิ์ไม่มีความเคลื่อนไหว บัญชีธนาคารถูกปิดไปแล้ว ไม่มีบัญชีธนาคาร เลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง และบัญชีธนาคารติดเงื่อนไขอื่นๆ ตามลำดับ
นายจุลพันธ์ กล่าวย้ำว่า ให้ผู้มีสิทธิ์ทั้งผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และผู้พิการ ดำเนินการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชน ภายในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ส่วนผู้พิการนั้น หากบัตรประจำตัวผู้พิการหมดอายุ หรือสูญหาย ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เพื่อให้ทันต่อรอบการจ่ายซ้ำครั้งที่ 3 ในวันที่ 19 ธันวาคม 2567
“หากพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว ทางกรมบัญชีกลาง จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มผู้มีสิทธิ์ และถือว่ากลุ่มผู้มีสิทธิ์ไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการดังกล่าว” รมช.คลัง กล่าว
ด้าน น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.รัชนก ศรีนอก สส.พรรคประชาชน ให้ข้อมูลซึ่งอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับสังคมว่าการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 เฟส 2 ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุที่คาดว่าจะได้รับเงินไม่เกินช่วงตรุษจีน ใกล้กับช่วงการเลือกตั้งนายก และอบจ.ทั่วประเทศ ว่า เป็นการจับแพะชนแกะ ตั้งใจทำให้เกิดความสับสน หากทั้งสองท่านทบทวนความทรงจำให้ดี นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ที่ใช้ในการหาเสียงปี 2566 เมื่อเป็นรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2566 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 12 กันยายน 2567 โครงการนี้ฝ่าคลื่นลมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม จนท้ายที่สุดด้วยความมุ่งมั่นของรัฐบาล ก็ได้ดำเนินโครงการนี้จนสำเร็จในเฟส 1 และกำลังเดินหน้าเฟส 2
น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่พูดคุยกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ได้รับเงินหมื่นเฟส 1 พวกเขาต่างดีใจที่ได้เงินเป็นทุนต่อชีวิต ต่อลมหายใจ ประชาชนบางรายนำเงินไปซื้อต้นทุนทางการเกษตร พันธุ์ข้าว เครื่องมือทางการเกษตร ไม่เพียงได้เงินไปหล่อเลี้ยงตัวเอง ยังได้นำไปเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ชุบชีวิตให้กับคนในครอบครัวด้วย
น.ส.ชญาภา กล่าวอีกว่า จากนโยบายเงินหมื่น เมื่อรวมเข้ากับอีกหลายนโยบายจาก 2 นายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ทั้งฟรีวีซ่าหลายประเทศ , การส่งเสริมการท่องเที่ยว , การเจรจาการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ จนสร้างเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศหลายแสนล้านบาท รวมถึงการลงทุนภาครัฐและเอกชน และอื่นๆ มากมาย เมื่อรวมเข้ากับนโยบายเงินหมื่นกระตุ้นเศรษฐกิจ ล้วนเป็นส่วนช่วยผลักดันจีดีพีในไตรมาส 3 ปีนี้ให้เติบโตขึ้น 3% หากเฟส 2 ดำเนินต่อ มั่นใจว่าจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“นี่คือฝีมือการบริหารแบบเพื่อไทย ที่ถือว่าผลิดอกออกผลชัดเจน รัฐบาลดำเนินการทุกงานอย่างมียุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต การลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ปัญหาเกิดขึ้นระหว่างทางย่อมยอมรับได้ แต่ไม่ใช่การตั้งข้อสังเกตเสียจนลืมมองถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน เงินหมื่นของท่านกับเงินหมื่นของประชาชนอาจไม่เท่ากัน” น.ส.ชญาภา กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี