ดีเอสไอหิ้ว"สามารถ-แม่"ฝากขังคดีร่วมกันฟอกเงินดิไอคอน เผยคำฟ้องพบเงินหมุนเวียนในบัญชีนับร้อยล้าน จ่อแจ้งข้อหาฟอกเงิน"บอสพอล" ด้วย พร้อมกับค้านประกัน ชี้ทำลักษณะเครือข่าย ยุ่งเหยิงหลักฐาน กลัวหนี
เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 67 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสืบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ได้ควบคุมตัว นางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ อายุ 62 ปี และ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อายุ 41 ปี อดีตสมาชิกพรรค และอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) 2 แม่ลูก ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 5(1),(3) มาตรา 9 และมาตรา 60
โดยพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์สรุปว่า กรณีที่มีการกล่าวหาบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด นายวรัตน์พล วรัทย์กุล หรือบอสพอล กับพวกรวม 19 ราย มีพฤติการณ์ร่วมกันหลอกลวงกลุ่มผู้เสียหายด้วยการเปิดรับสมัครให้เข้ารับการอบรมขายสินค้าออนไลน์ โดยหลอกว่าจะสอนวิธีการขายของออนไลน์ และมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม มีกลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อเข้าอบรม โดนบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯกับพวกจะแนะนำชักจูงให้ผู้กล่าวหากับพวกร่วมลงทุนซื้อสินค้าของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯ ไปจำหน่าย โดยทำให้หลงเชื่อว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ เมื่อลงทุนซื้อสินค้าไปแล้วทางบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ปฯ กับพวก จะเริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนตามแผนการลงทุนที่บริษัทจัดทำขึ้น และอ้างกับผู้เสียหายว่าสามารถทำรายได้เป็นจำนวนมากจากการขายสินค้าออนไลน์
นอกจากนี้ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯ กับพวก ได้เผยแพร่แผนประกอบธุรกิจการจ่ายค่าตอบแทนเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จและมีจุดประสงค์มุ่งเน้นการหาผลประโยชน์ตอบแทนจากการชักชวนบุคคลอื่นมาสมัครเป็นสมาชิกมากกว่าการขายสินค้า และบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวกอ้างว่า ตนเองได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนในระบบขายตรงแต่ความเป็นจริงแล้ว บริษัทฯกับพวก ไม่ได้รับอนุญาตตามที่อ้าง ซึ่งเป็นการปกปิดข้อเท็จจริงหรือแสดงข้อความเป็นเท็จ ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่ผู้เสียหายควรทราบ ทำให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าเป็นบริษัทขายตรงและมุ่งเน้นการหากำไรจากการขายสินค้าออนไลน์ ไม่ได้หากำไรจากการสมัครสมาชิก และกลุ่มผู้ต้องหาได้ร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อโฆษณาหรือเชิญชวนผู้เสียหายมาร่วมลงทุนกับบริษัท เพื่อให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราสูง แต่ทางบริษัทกับพวกไม่มีการนำเงินที่ได้รับจากผู้เสียหายไปประกอบตามที่กล่าวอ้างไว้กับผู้เสียหาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้บริหารและเครือข่าบของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯ กับพวก ว่าร่วมกันกระทำความผิดฐาน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันทุจริตในการนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง โดยตกลงว่าจะให้ประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้เข้าร่วมเครือข่ายซึ่งคำนวนจากจำนวนผู้เข้าร่วมที่เพิ่มขื้น
ทั้งนี้ จากการรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่า มีการโอนเงินจากชื่อบัญชี บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯ และบัญชีเงินฝากของนายวรัตน์พล วรัทย์กุล และต่อมามีข้อเท็จจริงว่าได้โอนเงินไปยังบัญชีของนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ จำนวน 15 ครั้ง รวม 2,589,999 บาท และมีการโอนเงินไปยังบัญชีเงินฝากของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อีก 14 ครั้ง รวม 475,000 บาท
อย่างไรก็ตามมูลนิธิทนายประชาชนฯ ได้ส่งหนังสือขอให้ตรวจสอบการกระทำของนายสามารถ พร้อมกับส่งคลิปเสียงจำนวน 2 คลิป ซึ่งเป็นไฟล์เสียงสนทนาระหว่างนายวรัตน์พลและนายสามารถ เมื่อพนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคารและธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้อง พบข้อมูลบัญชีเงินฝากของนางวิลาวัลย์ มีการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ช่วงวันที่ 1 มกราคม 2561 ถึง 28 ตุลาคม 2567 พบว่ามีการทำธุรกรรมผ่านบัญชีหลักร้อยล้านบาท
โดยเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีอื่นจำนวน 103,813,577.04 บาท และรับโอนเงินจากบัญชีอื่นจำนวน 88,894,306.46 บาท ซึ่งตรวจสอบการโอนเงินเข้าบัญชีของนายสามารถ 5 บัญชี พบยอดเงินมากกว่า 14 ล้านบาท มีการโอนเงินจาก นายวรัตน์พล จำนวน 2.5 ล้านบาท และมีการรับโอนเงินจากผู้ต้องหารายอื่นเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวน
นอกจากนี้จากการตรวจสอบการโอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของนางวิลาวัลย์ไปยังบัญชีเงินฝากของนายสามารถเป็นเงินรวมกว่า 34 ล้านบาท เมื่อปรากฏธุรกรรมการโอนเงินหมุนเวียนจำนวนหลักร้อยล้านบาท ของนางวิลาวัลย์ แต่กลับไม่ปรากฏข้อมูลการยื่นแบบแสดงการเสียภาษีของกรมสรรพากรแต่อย่างใด
การกระทำของนายวรัตน์พล นางวิลาวัลย์ และนายสามารถ จึงเป็นพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการรับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดที่มา หรือเพื่อช่วยผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังการกระทำผิด ไม่ให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลง
พนักงานสอบสวนจึงมีมติร่วมกันมอบหมายให้นายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการคดีฟอกเงินทางอาญา เลขานุการคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นคำร้องขออนุมัติหมายจับบุคคลทั้ง 3 ราย ต่อศาลอาญา ในความผิดฐานสมคบและร่วมกันฟอกเงินเป็นการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 5(4) (3) มาตรา 9 และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่ 1-2 ตามหมายจับศาลอาญาที่ 5681/2567 และที่ 5682/2567 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2567 โดยกล่าวหาว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1-2 เป็นความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
ต่อมาวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 07.50 น. และเวลลา 16.20 น. เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนพิเศษชุดจับกุม สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองโดยเจ้าหน้าที่สอบสวนคดีพิเศษได้แสดงหมายจับแก่ผู้ต้องหา ซึ่งยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับข้างต้นดังกล่าวและยังไม่เคยถูกจับกุมตามหมายจับข้างต้นมาก่อน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสอง ส่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการฟอกเงินทางอาญา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 115/2567 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
โดยเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 เวลา 11.00 น. และเวลา 23.40 น. พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ต้องหาทั้งสอง ดังนี้ การกระทำของผู้ต้องหาที่ เป็นความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสอง ให้การปฏิเสธโดยตลอด
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนพยานอีก 30 ปาก รอผลพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายนิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาที่ โดยเหตุผลดังกล่าว จำเป็นต้องขอฝากขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน นับตังแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 7 ธันวาคมนี้
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากผู้ต้องหาเป็นบุคคลตามหมายจับ มีการกระทำที่ลักษณะเป็นเครือข่ายและบุคคลทั้ง 3 รายเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกัน และมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก หากให้ประกันตัวเกรงว่าจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
ศาลอาญาพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ โดยมีรายงานข่าวว่า ทีมทนายความของนายสามารถอยู่ระหว่างยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยเตรียมหลักทรัพย์มูลค่า 1.2ล้านบาทเพื่อยื่นประกันตัว ผู้ต้องหาที่ 1-2
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี