กองปราบ หิ้ว’ดาว‘พี่เมียทนายตั้มฝากขัง สมคบฟอกเงินฉ้อโกง เจ๊อ้อย 39 ล้าน ไปรับเงินทีแบงก์เอง มาใส่ตู้เซฟ ช่วยกันขนทรัพย์สินหลบหนี ตร.ค้านประกันยาวเหยียด โทษสูง กลัวหนี ทั้งเจ๊อ้อย ยื่นค้านประกันด้วย เกรงไม่ได้ทรัพย์คืน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ควบคุมตัว น.ส.ปิณฑิรา หรือดาว อายุ 43 ปี พี่สาวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหา "ร่วมกันกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"
มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งเเรก
โดยพนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์แห่งคดีสรุปว่า คือ ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือเจ๊อ้อย เศรษฐีนีชาวไทย ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้าง นายษิทรา ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมาย ต่อมานายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น เป็นเหตุให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อส่งมอบเงินให้กับนายษิทรา หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระกัน ดังนี้
ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ แต่อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมและระบบก่อน เป็นเงินจำนวน 2ล้านยูโร พร้อมกับได้นำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของนายษัทรา จำนวน 71,067,764 บาท ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายได้มอบหมายให้นายษิทราจัดหาชื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่นจี 400 จากนั้นนายษิทราได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นดังกล่าวได้แล้วจากบริษัท 999อิมพอร์ต จำกัด ราคา 12,900,000บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์ จำนวน 30,000บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว รถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท
โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ผู้เสียหายหลงเชื่อได้โอนเงินชำระค่ารถยนต์เข้าบัญชีธนาคารของนายษิทรา ทำให้นายษิทรา ได้ไปซึ่งเงินค่าส่วนต่างราคารถยนต์ และค่าฟิล์มรถยนต์ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า นายษิทรา ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัท ปีเตอร์ คอนสตรัคชั้น 1987 จำกัด เป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ดิแองเจิ้ล ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยนายษิทราอ้างว่ามีค่าจ้างเขียนแบบโรงแรม เป็นเงินจำนวน 9ล้านบาท ทั้งที่ความจริงแล้วนายษิทราได้ไปว่าจ้างบริษัท กริต อาร์คิเทคท์ จำกัด ให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวในราคา 3ล้าน5 เเสนบาทเท่านั้น
ผู้เสียหายหลงเชื่อได้โอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าว จำนวน 9 ล้านบาทเข้าบัญชีธนาคารของนางพจมาน บัวลาส กรรมการผู้มีอำนาจจัดการของบริษัท ปีเตอร์ฯ จากนั้นได้ถอนเงินจำนวนดให้กับนายษิทราทำให้ได้ไปซึ่งเงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมดังกล่าว เป็นเงินจำนวน 5.5 ล้าน บาท
ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ นายษิทรา, นายนุวัฒน์ หรือนุ ยงยุทธ และน.ส.สารินี หรือสา นุชนารถ แฟนสาว ได้ร่วมกัน หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่านายนุวัฒน์ มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลนิทคอยน์ได้ ผู้เสียหายจึงให้นายนุวัฒน์ โอนสกุลเงินดิจิทัล บิทคอยน์ให้กับผู้ใช้อินสตาร์แกรมชื่อบัญชี เฉินคุน จากนั้นได้หลอกลวงผู้เสียหายว่านายนุวัฒน์ ได้ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของนางสาวสารินี โอนเงินไปยังบุคคลดังกล่าวแล้วทำให้กระเงินดิจิทัลของ น.ส.สารินี ถูกระงับการใช้งาน ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงิน จำนวน 39ล้านบาทโดยร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวัน สน.บางซื่อ แจ้งกรณีถูกอายัดเงินดังกล่าวไปให้ผู้เสียหายดูทางแอปพลิเคชั่นไลน์ด้วย จนผู้เสียหายหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงแล้วกระเป๋าเงินสกุลดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินีไม่ได้ถูกระงับการใช้งานแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เซ็คธนาคาร สาขาโลตัสปากช่อง สั่งจ่ายเงิน จำนวน 39ล้านบาท
บาท ให้กับน.ส.สารินี แล้วนายนุวัฒน์ กับน.ส.สารินี ได้ร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของน.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรานายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินสด จำนวน 39ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของน.ส.สารินี
พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรากับพวก ถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. ได้สืบสวนพบว่านายษิทรา กับพวก ได้มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน ดังต่อไปนี้
กรณีที่น.ส.จตุพร ได้โอนเงินจำนวน 9 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าว่าจ้างออกแบบการก่อสร้างโรงแรม ไปเข้าบัญชีธนาควรกรุงศรือยุธยา จำกัด (มหาชน) ของนางพจมาน บัวลาศ ตามที่นายษิทรา หลอกลวงดังกล่าวจากการสืบสวนพบว่าต่อมานางพจมาน และนายเขมวัฒน์ ได้เบิกถอนเงินสดจำนวนดังกล่าวนำไปมอบให้กับนายษิทรา ตามคำสั่งของนายษิทรา แล้วนายษิทรา ได้แบ่งเงินสดดังกล่าวใส่ซองกระดาษ แล้วนำไปมอบให้กับน.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหานี้ แล้วผู้ต้องหาได้นำเงินสดจำนวน 1 ล้านบาท ที่ได้รับ ไปฝากเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ศาลายาของผู้ต้องหา
กรณีที่น.ส.จตุพร ผู้เสียหายได้ซื้อแคชเชียร์เช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา สั่งจ่ายเงินจำนวน 39ล้านบาท ให้กับน.ส.สารินี ตามที่ได้ถูก นายษิทรา นายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงว่ากระเป๋าเงินดีจิตอลถูกระงับ แล้วนายนุวัฒน์ กับน.ส.สารินี ได้นำแคชเชียร์ฝากเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ของน.ส.สารินี นั้น จากการสืบสวนพบว่านายษิทรา ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา นำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เพื่อไปรับเงินดังกล่าว แล้วผู้ต้องหา ได้แจ้งให้คนขับรถของนายษิทราขับรถยนต์พาผู้ต้องหา พร้อมกับกระเป๋าเดินทางไปที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว เมื่อไปถึงผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถนำกระเป๋าเดินทางไปพบนายนุวัฒน์ ภายในธนาคารกรุงครือยุธยา ฯ
ส่วนผู้ต้องหา ยืนรออยู่บริเวณหน้าธนาคาร โดยนายนุวัฒน์ และน.ส.สารินี ได้เบิกถอนเงินสดจำนวน 39 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา ฯของน.ส.สารินี แล้วมอบเงินสด จำนวน 20มัด เป็นเงินรวม 20 ล้านบาท ให้กับคนขับรถเพื่อบรรจุใส่ในกระเป๋าเดินทางดังกล่าว จากนั้นผู้ต้องหาได้สั่งการให้คนขับรถพาผู้ต้องหาพร้อมกระเป๋าเดินทางที่บรรจุเงินจำนวนกลับบ้านพักที่ผู้ต้องหา และนายษิทราพักอาศัยอยู่ด้วยกัน แล้วนำกระเป๋าเดินทางดเก็บไว้ภายในบ้านพักบริเวณหน้าบันไดชั้นที่ 2ของบ้าน
พฤติการณ์และการกระทำของนายษิทรา, นายนุวัฒน์, น.ส.สารินี และผู้ต้องหาดังกล่าว จึงเป็นการโอนรับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้นเพื่อปกปิดอำพรางลักษณะที่แท้จริง การได้มา แหล่งที่ตั้งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการ กระทำความผิดด้วย
คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางลงวันที่ 30 ตุลาคม 2567ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนานาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับ น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาลอาญาลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 โดยกล่าวหาผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดฐามผิดฐาน"ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"
ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 67 เวลา 16.00 น. เจ้าพนักงานตำรวจ ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาได้ที่บริเวณชั้น 9 ของห้างสรรพสินค้าสยามสเคป ถ.พญาไท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป.ดำเนินคดีตามกฎหมาย
การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน "ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"อันเป็นความผิดตาม พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯมาตรา 3(18), มาตรา5 , 9 วรรคสอง และมาตรา60 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับ4) พ.ศ.2556ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา83
ทั้งนี้พนักงานสอบสวนต้องสอบสวนพยานอีก 10ปาก พยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุม/ตรวจค้นรอผลการตรวจพิสูจน์ของกลาง รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา จึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้ 12 วันตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน - 8 ธันวาคมนี้
ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนระบุด้วยว่า หากผู้ต้องหา ขอให้ปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้าน เนื่องจากคดีที่ผู้ต้องหา ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดนี้ มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงถึง 10ปี ทั้งมีการกระทำต่อทรัพย์สินเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงผู้เสียหาย จำนวนสูงถึง 39ล้านบาทในลักษณะเป็นการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินดังกล่าวต่อไปอีก โดยมีเจตนาเพื่อซุกซ่อน หรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อให้ยากต่อการสอบสวนและติดตามทรัพย์สินนั้น และก่อนที่ผู้ต้องหา จะถูกจับกุมตัว มีการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ และหมายเลขโทรศัพท์ใหม่ ตามคำสั่งของนายษิทร เจตนาเพื่อให้ยากต่อการติดตามตัวและเป็นการทำลายหลักฐานการติดต่อ รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีที่มีอยู่ในโทรศัพท์
อีกทั้งผู้ต้องหานี้เคยให้การในฐานะพยาน อ้างถิ่นที่อยู่ว่า เมื่อวันที่ 29 พฤกษภาคม 2556 เวลา 17.00 น.(วันเกิดเหตุ) ผู้ต้องหาได้ไปรับบุตรของนายษิทรา ที่โรงเรียน โดยมีการนำภาพถ่ายสถานที่จากโทรศัพท์มือถือถือของบุตรนายษิทรา มาอ้างใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบแต่ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ได้ไปรับบุตรของนายษิทราตามวันเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งจากการตรวจค้นบ้านพักของนายษิทรา ที่ผู้ต้องหาอาศัยอยู่ด้วย พบว่ามีร่องรอยการขนย้ายทรัพย์สินออกจากตู้นิรภัย ซึ่งบุคคลที่รู้รหัสและสามารถเปิดตู้นิรภัยดังกล่าวได้มีเพียงนายษิทรา, นางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา และผู้ต้องหาเท่านั้น จึงเชื่อว่าผู้ต้องหานี้มีส่วนรู้เห็นในการขนย้ายทรัพย์สินต่างๆ ออกไปจากตู้นิรภัยด้วย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สิน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน
นอกจากนี้ผู้เสียหายขอคัดค้านการประกันตัวด้วยเนื่องจากคดีมีอัตราโทษจำคุกและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวไป เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายในคดีพยานสำคัญในคดี ศาลพิจารณาคำร้อง และสอบถามผู้ต้องหาแล้ว ไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี