คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยถึงสาเหตุที่“บอสพอล-แม่สามารถ-นายสามารถ”ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงินฯ พร้อมเตรียมแกะเส้นทางการเงินอีกกว่า 100 ล้านบาท ยันหากพบว่าใครเกี่ยวข้องรู้เห็นโดนหมด “บอสปีเตอร์” จ่อเป็นรายต่อไปด้าน“ฟิล์ม”โพสต์ชี้แจงหลังถูกออกหมายเรียก ปมคลิปเสียงเรียกเงิน 20 ล้าน ระบุพร้อมไปพบพนักงานสอบสวน ลั่น “ความจริงอาจต้องใช้เวลา แต่มันคุ้มค่าแก่การรอคอย”
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีการดำเนินคดีอาญากับ
บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด กับพวก หรือแชร์ลูกโซ่ ดิไอคอน และความคืบหน้าในคดีพิเศษที่ 115/2567 กรณีการฟอกเงินทางอาญาของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ว่า สำหรับเรื่องจำนวนเงินกว่า 100 ล้านบาทที่มีการโอนเข้าบัญชีธนาคารของนางวิลาวัลย์ พุทธสัมฤทธิ์ มารดาของนายสามารถ เจนชัยจิตรวณิช ดีเอสไอพบว่า บางส่วน 2.5 ล้านบาท ถูกโอนมาจากบัญชีธนาคารของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล บางส่วนอีก 500,000 บาท มาจากบัญชีของนายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ ส่วนจำนวนเงินที่เหลือที่โอนเข้ามาที่บัญชีนางวิลาวัลย์ ดีเอสไอจึงอยู่ระหว่างขยายผลว่าเป็นเงินโอนมาจากบุคคลใด บ้าง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำรายชื่อของคนที่ทำธุรกรรมทางการเงินกับนางวิลาวัลย์ และนายสามารถ ไปตรวจสอบแล้วพบว่าบุคคลนั้นมีความเกี่ยวข้องในคดีอาญาอื่นใด อาทิ เกี่ยวข้องกับการจัดให้มีการเล่นพนัน หรือในความผิดใด เจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถดำเนินการได้ แต่ดีเอสไอเน้นดูภาพรวมของเส้นทางการเงิน
ทั้งนี้ นอกจาก 3 ผู้ต้องหาที่ถูกดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงิน อันประกอบด้วย 1.บอสพอล 2.แม่ของนายสามารถ 3.นายสามารถ หลังจากนี้หากมีความชัดเจนเรื่องผู้รับโอนเงินต่อจากบุคคลทั้งหมดนี้แล้ว ดีเอสไอจะได้ทำการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเพิ่มเติม ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏแน่นอน
ส่วนในกรณีของบอสปีเตอร์ ที่โอนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีแม่ของนายสามารถ ดีเอสไอก็ต้องไปสอบสวนปากคำเจ้าตัว หรือขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานให้ประจักษ์ ว่าเงินจำนวนนี้คือเงินโอนเพื่อวัตถุประสงค์ใด หากเป็นการฟอกเงินเช่นเดียวกันกับบอสพอลบอสปีเตอร์ก็จะถูกแจ้งข้อหาเป็นผู้ต้องหาคดีฟอกเงินฯ รายถัดไป
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ บอสพอล ถูกแจ้งข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบกันฟอกเงินว่า ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ดีเอสไอตรวจสอบพยานหลักฐานคลิปเสียงสนทนาระหว่างบอสพอลและนายสามารถ ที่บางช่วงบางตอนมีการกล่าวถึงการจ่ายเงินเป็นค่าดูแลระหว่างกัน ซึ่งมันชัดเจนว่ามีการรับรู้กัน เพราะปกติในแง่ของกฎหมาย“คนโอนและคนรับโอน”จะต้องรู้กัน และถ้าหากจะอ้างเป็นเงินกู้ยืมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดให้การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่กรณีนี้อาจไม่สำคัญว่าหนังสือลงบันทึกการกู้ยืมเงินจะเกิดขึ้นตอนไหน แต่สำคัญที่ว่าทั้งบอสพอล แม่ของนายสามารถ และนายสามารถ “มีการกู้ยืมเงินกันจริงหรือไม่ แม้อ้างว่าได้ชำระคืนกันหมดแล้ว” และต้องชี้แจงได้ว่าเป็นเงินยืมกันเพื่อธุรกิจหรือกิจกรรมใด มีความเชื่อใจกันขนาดไหน
“ส่วนบัญชีบุคคลใดก็ตามที่รับโอนเงินต่อจากบัญชีของนายสามารถ และนางวิลาวัลย์ จะถือว่าร่วมฟอกเงินด้วยหรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่า ต้องดูว่าเงินเหล่านั้นถูกนำไปใช้โดยรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินจากมาจากแหล่งใด หรือถูกโอนออกไปเพื่อปกปิดหรือไม่ นอกจากนี้ กรณีหากจะกล่าวว่าในตอนนั้นไม่ทราบได้ว่าเงินที่รับโอนมาจะเป็นเงินที่มาจากการกระทำผิด จนทำให้ถูกแจ้งข้อหาฟอกเงินในปัจจุบัน เนื่องด้วยตอนนั้นความผิดยังไม่ปรากฏนั้น ขออธิบายว่า พนักงานสอบสวนจะพิจารณาจากความผิดเกิดขึ้นเมื่อวันเวลาใด แม้ในช่วงเวลานั้นไม่ถูกดำเนินคดี แต่ความผิดมันเกิดขึ้นไปแล้ว ทั้งนี้ หากเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกัน เป็นเงินที่รับโอนกันโดยตรงสองคนมันไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่ดีเอสไอพบ คือ บัญชีที่รับโอนเงินกับคนที่ใช้เงินนั้นมันเป็นคนละคนกัน” คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กล่าว
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยด้วยว่า ประเด็นพยานของดิไอคอนฯ กว่า 2,000 ราย ที่ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบอสพอล เคยให้สัมภาษณ์จะทยอยพามาให้ดีเอสไอสอบสวนปากคำนำเข้าสำนวนเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบรรดาบอสดิไอคอนฯ และแผนธุรกิจดิไอคอนฯ นั้น ล่าสุดทราบว่าได้มีการส่งบัญชีรายชื่อของพยานมาประมาณ 400 ราย และที่เดินทางมาที่ดีเอสไอด้วยตัวเอง มีประมาณ 170 กว่าราย ซึ่งเป็นกระบวนการที่ดีเอสไอให้มาแสดงข้อเท็จจริงว่าจะเป็นพยานฝ่ายผู้ต้องหารายใด
อย่างไรบ้าง ยกตัวอย่าง มีพยานกว่า 200 รายของบอสดาราทั้ง 3 ราย (บอสกันต์ บอสแซมบอสมิน) ยื่นเอกสารแสดงข้อเท็จจริงนำเข้าสำนวน ทำให้ดีเอสไอได้มีการนำเอกสารทั้งหมดของพยานทุกรายที่ยื่นเข้ามา มาจัดกลุ่มพยานว่า แต่ละรายแสดงข้อเท็จจริงให้บอสคนไหนบ้าง และจึงได้เรียกสอบสวนปากคำตามประเด็น/ข้อเท็จจริงที่จำเป็น
“อย่างเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ดีเอสไอก็ได้เรียกสอบปากคำพยานของผู้ต้องหาไปแล้ว 10 ราย และพยายามให้มีการสอบพยานของผู้ต้องหาให้ได้ทุกราย ซึ่งเดิมทีกำหนดยุติการสอบสวนไว้ที่วันที่ 3 ธ.ค. แต่ถ้าหากมีเหตุพิจารณาถึงความจำเป็น ดีเอสไอก็ขยายเวลาให้ได้ แค่ดีเอสไอต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนวันสรุปสำนวนมีความเห็นทางคดีส่งพนักงานอัยการ ยืนยันว่าเราให้ความเป็นธรรมตามความประสงค์อยู่แล้ว ตัวอย่างลักษณะคำให้การของพยานผู้ต้องหา อาทิ ให้ข้อเท็จจริงว่าได้ทำธุรกิจจริง บริษัทมีสินค้าให้จริง เป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนกับรายอื่นเพราะไม่ต้องสต็อกสินค้า สามารถขายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ และตอบโจทย์จริง เป็นต้น” คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวทิ้งท้าย
ทางด้านนายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม โพสต์อินสตาร์แกรม ชื่อบัญชี “filmrattapoom” หลังปรากฎข่าวถูกออกหมายเรียกคดี “พยายามฉ้อโกง” ปมคลิปเรียกเงิน 20 ล้าน ในคดี “ดิไอคอน” โดยระบุว่า
“ขออนุญาตแจ้งให้ทุกคนทราบนะครับ เพื่อจะไม่กังวลใจไปกับข่าว เนื่องด้วยเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้ทุกท่านไม่สบายใจ เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ผมได้ให้ทีมทนายความยื่นหนังสือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจกับเจ้าหน้าที่กองปราบปรามไปแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนากระทำความผิดใดๆ และพร้อมที่จะไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อชี้แจงและให้การ แก้ข้อกล่าวหา ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรอรับเอกสารหมายเรียก และดำเนินการในขั้นตอนถัดไป และที่ผมไม่ได้ออกมาพูดก่อนหน้านี้เพราะมีข้อมูลหลายอย่างผมจำเป็นต้องเก็บไปให้ข้อมูลในชั้นศาล ขอบคุณสำหรับความห่วงใยที่ทุกท่านมีให้ผมครับ ความจริงอาจต้องใช้เวลา แต่มันคุ้มค่าแก่การรอคอยครับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี