นายราเชน ศิลปะรายะ รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า นอกจากการปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนแล้ว ยังมีภารกิจการบรรเทาปัญหาหมอกควัน ไฟป่า และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทั้งในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ภาคเหนือ ด้วย

ทั้งนี้ ในปี 2568 ได้ขานรับนโยบายของรัฐบาล โดยจัดทำแผนการดัดแปรสภาพอากาศ ประจำปี 2568 เพื่อปฏิบัติการฝนหลวงและการดัดแปรสภาพอากาศบรรเทาปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) เกินเกณฑ์มาตรฐาน การสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าไม้ ป้องกันการเกิดไฟป่า ปัญหาหมอกควัน โดยมีแผนการตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2567-30 เมษายน 2568 รวม 6 หน่วยปฏิบัติการ ได้แก่ (1) หน่วยฯ จ.ระยอง (2) หน่วยฯ จ.กาญจนบุรี (3)หน่วยฯ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ (4) หน่วยฯ จ.เชียงใหม่ (5) หน่วยฯ จ.แพร่ (6) หน่วยฯ จ.ตาก โดยจัดเตรียมเครื่องบิน 13 ลำ ได้แก่ เครื่องบินขนาดใหญ่ (ชนิด CN 235) 2 ลำ เครื่องบินขนาดกลาง (ชนิด CASA) 5 ลำ และ เครื่องบินขนาดเล็ก (ชนิด CARAVAN) 6 ลำ

สำหรับปฏิบัติการฝนหลวงและปฏิบัติการดัดแปรสภาพอากาศ 3 เทคนิค ได้แก่ 1.การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการก่อกวน 2.การปฏิบัติการฝนหลวงในขั้นตอนการเลี้ยงให้อ้วน และ 3.การปฏิบัติการเทคนิคการลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผัน อย่างไรก็ตาม สำหรับการปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง จะต้องอาศัยทิศทางลมเป็นตัวกำหนดในการก่อเมฆให้ลมพัดเมฆเข้ามาในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยหากลมมาจากทิศตะวันออกจะปฏิบัติการจากฐานที่ตั้ง จ.ระยอง และหากลมมาจากทิศตะวันตก จะปฏิบัติการจากฐานที่ตั้ง จ.กาญจนบุรี ทั้งนี้ ในพื้นที่กทม. บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยจำกัด จะกำหนดโซน ความสูง และช่วงเวลาการบินให้กับกรมฝนหลวงฯ เพื่อปฏิบัติการบินตามกฎการบินสากล รวมถึงระมัดระวังพื้นที่การเกษตรจังหวัดใกล้เคียงที่กำลังเก็บเกี่ยวในฤดูนี้