'เสี่ยร้านแก๊สร้อง'ทนายดังถูกพ่อลูกคู่กรณีขับรถปาดหน้ารุมทำร้าย 4 เดือนคดีไม่คืบ หวั่นเรื่องเงียบ

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 25 ธ.ค.67 ที่สำนักงานทนายความรัชพล ศิริสาคร เลขที่ 24/169 ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี นายกฤษฎา อายุ 48 ปี เจ้าของร้านขายแก๊ส นำหลักฐานภาพจากกล้องวงจรปิดขณะถูกสองพ่อลูกคู่กรณีที่ขับรถปาดหน้ากันรุมทำร้ายร่างกายเข้าร้องเรียนกับทนายรัชพล ศิริสาคร โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 15.00 น.ที่บริเวณถนนพุทธมณฑลสาย 4 หน้ามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลังเกิดเหตุเข้าแจ้งความที่ สน.ธรรมศาลา ผ่าน 4 เดือน คดีไม่มีความคืบหน้า หวั่นเรื่องเงียบ วอนขอความเป็นธรรม

ภาพจากกล้องหน้ารถยนต์ของผู้เสียหายบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะกำลังขับอยู่บนถนนจากนั้นได้มีรถยนต์เก๋งคันหนึ่งขับปาดหน้าแทรกเข้ามาอย่างกระทันหันแล้วเบรก จากนั้นรถทั้งสองคันได้ขับไล่ตามกันไปแล้วจอดรถข้างทาง ฝ่ายผู้เสียหายได้เดินไปหาคู่กรณีที่นั่งอยู่ในรถเพื่อเคลียร์ปัญหา จึงทำให้มีปากเสียงกัน ผู้เสียหายได้ชกหน้าคู่กรณีไป 1 ครั้ง ฝั่งคู่กรณีจึงขับรถพุ่งชนที่บริเวณประตูด้านขวา จากนั้นได้ขับเดินหน้าและถอยหลังชนที่บริเวณกันชนหน้าด้านขวาอย่างแรงอีกครั้ง ก่อนแยกย้ายกันไป กล้องวงจรปิดอีกมุมบันทึกภาพรถยนต์กระบะไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มากัน 2 คน ซึ่ง 1 ในนั้นเป็นพ่อของคู่กรณี ขับมาจอดทางด้านขวา จากนั้นทั้ง 2 พ่อลูกได้ปรี่เข้าไปชกต่อยผู้เสียหายกับภรรยาที่นั่งอยู่ในรถ โดยมีผู้ชายอีกคนคอยยืนคุมเชิงอยู่ที่หน้ารถของผู้เสียหาย สักพักผู้เสียหายขับรถหนี แล้วไปแจ้งความทันที

นายกฤษฎา ผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนกับภรรยาและลูกชาย ขับรถมาตามถนนปกติ ไม่ได้เร็ว ได้มีคู่กรณีซึ่งไม่ได้รู้จักหรือมีปัญหากันมาก่อน ขับมาจี้ท้ายแล้วก็บีบแตร จากนั้นได้แซงซ้ายแล้วปาดเข้าขวาอย่างกระทันแล้วเบรคเหมือนตั้งใจจะให้ชนท้าย ด้วยความโมโหตนจึงขับตามไป ซึ่งระหว่างทางเขาก็เบรคจะให้ชนหลายครั้ง หลังจากจอดรถจึงเดินไปสอบถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร พอคู่กรณีเปิดกระจกมาปรากฏว่าเป็นวัยรุ่น เขาพูดว่าพี่เป็นอะไร ด้วยความโมโหจึงชกหน้าไปหนึ่งครั้ง 

จากนั้นคู่กรณีได้ขับรถชนรถของตนถึง 2 ครั้ง จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเพื่อรอประกัน ผ่านไปประมาณ 30 นาที ได้มีรถกระบะขับมาจอดที่ด้านขวาไม่ทราบว่าเป็นรถของใคร มีชายฉกรรจ์ 2 คนเดินลงมาจากรถแล้วเดินมากระชากประตูรถของตนทั้งสองฝั่งพร้อมตะโกนเสียงดังว่า มึงเปิดประตู ใครทำลูกกู จึงรู้ว่าเขาเป็นพ่อของคู่กรณี ซึ่งตอนนั้นในรถของตนมีภรรยาและลูกอยู่ในรถ จึงลดกระจกลงเพื่อที่จะเจรจา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็ระดมชกต่อยแบบไม่ยั้ง โดยไม่ฟังเหตุผลเลย 

ขณะเดียวกันลูกชายเขาก็กระชากกระเป๋าคาดอก ซึ่งในนั้นมีเงินกับโทรศัพท์มือถืออยู่ เขาก็หยิบเอาออกไปด้วย แล้วก็โยนกระเป๋าเข้ามาในรถ ตอนนั้นภรรยาของตนพยายามพูดให้เขาใจเย็น แต่ผู้เป็นพ่อกลับต่อยเข้าที่ใบหน้าแฟนของตน ตอนนั้นคิดว่าไม่ปลอดภัยแล้ว จึงรีบขับหนีออกมาแล้วไปแจ้งความที่ สน.ธรรมศาลา เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.ผ่านมาจะ 4 เดือนแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนเงินในกระเป๋าประมาณ 6,000 บาท และโทรศัพท์มือถือที่เขาเอาไป เขาเอามาคืนที่โรงพักหลังจากที่แจ้งความแล้ว วันนี้ที่มาร้องเรียนทนายรัชพล อยากให้ช่วยติดตามคดี และขอความเป็นให้กับครอบครัวของตนด้วย สุดท้ายนี้อยากฝากไปถึงคู่กรณีขับรถบนท้องถนนขอให้ใจเย็นกว่านี้หน่อย อย่าไปปาดหน้าหรือเบรคให้คนอื่นชนเลย แล้วการที่พาพวกมารุมทำร้ายแบบนี้ บ้านเมืองมีกฎหมาย ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ กล่าวว่า ที่มาร้องเรียนวันนี้เป็นความผิดเรื่องทำร้ายร่างกายชัดเจน จะต้องดูบาดแผลอีกทีนึงว่ามีความร้ายแรงแค่ไหน ซึ่งมีโทษจำคุกอยู่แล้ว ในส่วนที่ขับรถปาดหน้าหรือไปเบรคข้างหน้าโดยมีเจตนาที่จะให้รถคันหลังชน ตรงนี้เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ที่ผ่านมามีคำพิพากษาจากศาลสั่งยึดรถคันที่ขับปาดหน้าแล้วก็เบรค ส่วนเรื่องเงินที่เอาไปแล้วนำมาคืนภายหลังนั้น เข้าข่ายความผิดฐาน ลักทรัพย์หรือไม่ก็ชิงทรัพย์ เพราะเป็นการเอาทรัพย์สินของเขาไป ถึงแม้ว่าจะนำทรัพย์สินของเขามาคืนภายหลัง ถือเป็นการบรรเทาผลร้ายให้กลายเป็นดี แต่ว่าความผิดที่เอาทรัพย์สินของเขาไปถือว่าสำเร็จแล้ว ก็ต้องรับโทษกันตามกฎหมาย อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจถ้าแจ้งข้อกล่าวหาต้องแจ้งให้ครบ หลังจากนี้จะทำการเร่งรัดเรื่องของคดีให้มีความคืบหน้า และฝากไปถึง ผกก.สน.ธรรมศาลา ขอความเป็นธรรมให้กับผู้เสียหายด้วย - 003