ด่วน! อัยการสั่งไม่ฟ้ง บอส แซม บอสมิน ส่วนบอสพอล บอสกันต์ กับพวกที่เหลือรวม 17 ไม่รอด คดีดิไอคอน เตรียมออกหมายปล่อยตัวจากเรือนจำต่อไป.
วันที่ 8 มกราคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการอาคาร เอ นายศักดิ์เกษม นิไทรโยค ผู้ตรวจการอัยการ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงข่าวว่า ตามที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 67 คดีระหว่าง นายณัฏฐ์ ธนาพิพัฒน์ดลภัค กับพวก ผู้กล่าวหาบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด โดยนายวรัตน์พล วรัทย์รกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกรวม 19 คน ข้อหา "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรง ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการใน ลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" เหตุเกิดระหว่างวันที่ 12 สิงหาคม 63 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 67 ใน ท้องที่แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ และหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรต่อเนื่องกัน คิดเป็นค่าเสียหายรวมประมาณ 649,912,290 บาท เนื่องจากคดีนี้มีผู้เสียหายจำนวนมากและเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ ถือเป็นคดีสำคัญตามระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานร่วมกันพิจารณา บัดนี้สำนักงานคดีพิเศษได้พิจารณาสำนวนดังกล่าวแล้วมีความเห็นและคำสั่ง ดังนี้
1. สั่งฟ้อง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กรรมการผู้มีอำนาจ ผู้ต้องหาที่ 1 ,นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ผู้ต้องหาที่ 2, นายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือบอสแล็ป ผู้ต้องหาที่ 3, นายกลด เศรษฐนันท์ หรือบอสปีเตอร์ ผู้ต้องหาที่ 4, น.ส.ปัญจรัศม์ กนกรักษ์ธนพร หรือบอสปัน ผู้ต้องหาที่ 5, นายฐานานนท์ หิรัญไชยวรรณ หรือบอสหมอเอก ผู้ต้องหาที่ 6, น.ส.นัฐปสรณ์ ฉัตรธนสรณ์ หรือบอสสวย ผู้ต้องหาที่ 7, น.ส.ญาสิกัญจณ์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสโซดา ผู้ต้องหาที่ 8, นายนันทธรัฐ เชาวนปรีชา หรือบอสโอม ผู้ต้องหาที่ 9, นายธวิณทรภัส ภูพัฒนรินทร์ หรือบอสวิน ผู้ต้องหาที่ 10, น.ส.กนกธร ปูรณะสุคนธ์ หรือบอสแม่หญิง ผู้ต้องหาที่ 11, น.ส.เสาวภา วงษ์สาขา หรือบอสอูมมี ผู้ต้องหาที่ 12, นายเชษฐ์ณภัฏ อภิพัฒนกานต์ หรือบอสทอมมี่ ผู้ต้องหาที่ 13, นายหัสยานนท์ เอกชิสนุพงศ์ หรือบอสป๊อบ ผู้ต้องหาที่ 14, นางวิไลลักษณ์ ยาวิชัย หรือบอสจอย ผู้ต้องหาที่ 15, นายธนะโรจน์ ธิติจริยาวัชร์ หรือบอสออฟ ผู้ต้องหาที่ 16 และนายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ผู้ต้องหาที่ 19
ตามข้อหา ฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการ ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบ ธุรกิจโดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย, ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" ตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 3, 19, 20, 38, 46, 47, 54, พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2560 มาตรา 3, 6, 18, 23 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 341, 343 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 มาตรา 4 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527มาตรา 3, 4, 5, 9, 11/1, 12, 15 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2534 มาตรา 3 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2545 มาตรา 3, 4, 5 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดในทางอาญาของ ผู้แทนนิติบุคคล พ.ศ. 2560 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 8 ตามความเห็นพนักงานสอบสวน
2. สั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแชม ผู้ต้องหาที่ 17 และ น.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือบอสมีน ผู้ต้องหาที่ 18 แย้งความเห็นพนักงานสอบสวน
ผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีคำสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะได้ดำเนินการยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 17 ต่อศาลอาญาในวันนี้
ส่วนผู้ต้องหาที่ 17 และ 18 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักคดีพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้องนั้น พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ จะได้ดำเนินการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวผู้ต้องหาต่อศาลอาญาและจะดำเนินการส่งสำนวนพร้อมความเห็นและคำสั่งไม่ฟ้องไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่า จะมีความเห็นแย้งในคำสั่งไม่ฟ้องหรือไม่ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ต่อไป.
ผู้สื่อข่าวถามว่าสาเหตุที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ หรือบอสแซม และนางสาวพีชญา หรือบอสมีนมีสาเหตุจากอะไร นายศักดิ์เกษม ในขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะยังมีส่วนของผู้ต้องหาที่ถูกสั่งฟ้องและสั่งไม่ฟ้อง คดียังไม่เด็ดขาด จะต้องเสนอต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือเห็นแย้ง จึงไม่สามารถกล่าวถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ กล่าวได้เพียงว่าผู้ต้องหาทั้งสอง มีพยานหลักฐานไม่พอรับฟังได้ว่าทั้งสองร่วมกระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวกับผู้ต้องหาอื่น
เมื่อถามว่าช่วงเวลาที่พิจารณาคดีทั้งหมดสามารถพิจารณาสำนวนคดีที่ดีเอสไอส่งมาทั้งหมดได้หรือไม่ เนื่องจากจำนวนของสำนวนคดีค่อนข้างมาก นายศักดิ์เกษม กล่าวว่า คณะทำงานทุกคนในช่วงปีใหม่ไม่มีใครได้หยุดเลย สำนวนคดีนี้มีเอกสารมากกว่า 3 แสนหน้า มีการสอบพยานหลักฐานหลายพันคน ทำให้คณะทำงานต้องทำงานอย่างละเอียด และยังมีผู้ร้องขอความเป็นทำทั้งสองฝ่ายที่คณะทำงานจะต้องพิจารณาในส่วนนี้อีก และผู้ต้องหาทุกคนจะครบฝากขังในวันนี้ทำให้คณะทำงานต้องเร่งทำให้เสร็จ ก่อนครบกำหนดฝากขัง
ถามว่าในทางปฏิบัติเมื่อมีคำสั่งไม่ฟ้องนายยุรนันท์และนางสาวพีชญา ในวันนี้จะต้องมีการปล่อยตัวหรือไม่ เพราะครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายในวันนี้นายศักดิ์เกษม กล่าวอีกว่า ในทางปฏิบัติเมื่ออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ต้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ปล่อยผู้ต้องหาที่สั่งไม่ฟ้อง หลังจากนั้นจะต้องมีการปล่อยตัวไม่ว่าจะครบกำหนดฝากขังหรือไม่ ส่วนประเด็นการสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดหรือไม่ต้องรอเสนออธิบดีดีเอสไออีกครั้ง
ถามว่าหากกรณีดีเอสไอมีความเห็นแย้งมา สำนักอัยการสูงสุดจะเป็นผู้ชี้ขาดตามกฎหมายหรือไม่ นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ อัยการอาวุโส ในฐานะที่ปรึกษาโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่า ในกระบวนการดำเนินคดีอาญาของใครก็แล้วแต่จะมีหลักประกันต่อผู้ถูกกล่าวหาและให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหาย การเป็นผู้พิจารณาสำนวนการสอบสวนสำนวนจากดีเอสไอถือเป็นการกลั่นกรองในเบื้องต้น ว่าการรวบรวมหลักฐานของดีเอสไอ จะนำมาพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง และความเห็นของดีเอสไอในขั้นแรกถือเป็นดุลพินิจของดีเอสไอ และหลังจากที่อัยการนำมาพิจารณาอีกรอบถือว่าเป็นความเห็นของทางฝั่งอัยการ ซึ่งมีความเห็นตรงกันในส่วนของผู้ต้องหาทั้ง 17 รายว่า ควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ส่วนอีก 2 รายมีความเห็นแตกต่างว่าพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะรับฟัง ในกระบวนการนี้จะกลับไปสู่อธิบดีดีเอสไออีกครั้ง ตนต้องเรียนต่อสื่อมวลชนว่า ในการทำงานของพนักงานอัยการไม่ว่าจะเป็นสำนักงานอัยการคดีประเภทใดจะมีการสั่งควบคุมคดีอยู่แล้ว เมื่ออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องกระบวนการจะไม่จบตรงนี้ จึงต้องไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
เมื่อถามว่าความเห็นของการร้องขอความเป็นธรรมที่ฝั่งดิไอคอน บอกว่าไม่มีการสอบพยานที่ต้องการทั้งหมด ฝั่งอัยการรับฟังส่วนนี้อย่างไรบ้าง นายชาญชัย กล่าวว่า ในส่วนนี้ตนต้องเรียนว่าในส่วนนี้ยังไม่ได้ลงในเนื้อใน แต่โดยหลักการ พยาน 10 ปากมีข้อเท็จจริงเหมือนกัน แต่พนักงานสอบสวน สอบไปแล้ว 8 อีก 2 อาจจะใช้ดุลพินิจว่ามีความเหมือนกันก็ได้ แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือน ทางเราจะสอบสวนให้
เมื่อถามว่าผู้เสียหายสามารถฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 2 ที่อัยการสั่งไม่ฟ้องอีกได้หรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ถ้าเป็นการแจ้งข้อหาเดิมที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้รับก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้ แต่ถ้ามีพยานหลักฐานที่สามารถฟ้องในข้อหาใหม่อีกครั้งสามารถทำได้
ต่อมาพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ได้นำสำนวนคดีไปยื่นฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 17 รายเป็นจำเลยต่อศาลอาญา โดยศาลประทับฟ้องคดีไว้พิจารณาเป็นคดีดำ อทย.14/2568 และนัดสอบคำให้การจำเลยวันที่ 9 มกราคม นี้ เวลา 09.00 น.โดยออกหมายเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำมาศาลเพื่อสอบคำให้การดังกล่าว.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี